ตัวเลขของ ศบค.ประจำวันว่าด้วยคนติดเชื้อ, คนกลับบ้าน และคนเสียชีวิตเมื่อวาน ดูเหมือนจะส่งสัญญาณว่าสถานการณ์ “ทรงตัว” และ “นิ่ง”
และหากเป็นไปตามคำบอกเล่าของนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เดือนกันยายนจะเริ่มเห็น “ขาลง” ของการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย
ผมว่าอย่าเพิ่งวางใจเป็นอันขาด
เพราะเดือนกันยายนจะเริ่มต้นการผ่อนคลายมาตรการเข้มข้นที่ทำมาตลอดเดือนสิงหาคม
ผลการประเมินของเดือนสิงหาคมยังไม่อาจบอกได้ว่าตัวเลขทุกตัวชี้ไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะมีปัจจัยหลายตัวที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
เช่น จำนวนคนติดเชื้อประจำวันของ ศบค.กับกรมควบคุมโรคนั้น ไม่ได้บอกว่าแต่ละวันตรวจเชิงรุกแบบ RT-PCR กี่คน
เพราะหากตรวจวันละ 50,000-60,000 คน และพบคนติดเชื้อ 16,000-18,000 คน ก็ต้องถือว่ายังเป็นสัดส่วนที่สูงอยู่
ขณะเดียวกันเราก็เห็นตัวเลขอีกชุดหนึ่ง อันเป็นผลบวกของการตรวจด้วยชุด ATK หรือ Antigen Test Kit ซึ่งก็ยังไม่แพร่หลาย
ตัวเลขทุกวันของช่องนี้อยู่ที่หลายร้อยไปถึงหลายพัน ไม่สามารถบอกได้ว่าสะท้อนถึงแนวโน้มเพิ่มมากน้อยเพียงใด
ถ้ากระทรวงสาธารณสุขแจกจ่ายชุดตรวจ ATK ได้ไวและกว้างขวางขึ้นในเดือนกันยายน รวมถึงประชาชนสามารถหาซื้อมาตรวจเองได้มากขึ้น ประกอบกับมีวิธีการรายงานผลการตรวจด้วยตนเองเข้าระบบข้อมูลที่จะประเมินได้ประจำวัน เราจึงจะเริ่มเห็นภาพของสถานการณ์การระบาดโควิดที่ใกล้เคียงความจริง
เพราะตราบที่จำนวนคนป่วย “อาการหนัก” ยังอยู่ที่กว่า 5,000 คน และผู้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจยังอยู่เหนือพันคนทุกวันอย่างที่เห็นในรายงาน ก็แปลว่าสถานการณ์ยังน่ากังวลมาก
ต้องไม่ลืมว่าโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนยังคงอยู่ในภาวะ “ล้น” แม้เราจะได้ยินเสียงบ่นดังๆ จากบุคลาการทางการแพทย์ลดลงบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปัญหาหนักหนาสากรรจ์ในโรงพยาบาลทั้งหลายนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นเพียงการประคับประคองไม่ให้วิกฤตเกินกว่าจุดที่ผ่านมาเท่านั้น
เดือนกันยายนจึงเป็น “เดือนหักเห”
นั่นหมายความว่า หากสามารถควบคุมมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อได้ในระดับที่น่าพอใจหลังจากคลายล็อก
และหากมีการระดมฉีดวัคซีนกันอย่างจริงจังและกว้างขวาง
อีกทั้งกระทรวงสาธารณสุขสามารถกระจายการแจกจ่าย ATK ให้ประชาชนได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เราอาจจะเห็นการกระเตื้องขึ้นของสถานการณ์ภาพรวมในเดือนกันยายน
แต่หากมีความพลาดพลั้งในด้านใดด้านหนึ่ง หรือหากขาดการประสานและบูรณาการกันในกลไกของรัฐและเอกชนที่สำคัญ ก็อาจจะเกิดกรณีของการระบาดระลอก 4 ได้
และนั่นจะกลายเป็นสถานการณ์ “วิกฤตเรื้อรัง” ทันที
ดูตัวอย่างของหลายประเทศแม้ที่ฉีดวัคซีนกันอย่างกว้างขวาง มากกว่าของไทย ก็ยังต้องเผชิญกับการหวนกลับมาของโควิด-19 อย่างน่ากังวล
ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา, อิสราเอล, ออสเตรเลีย และยุโรปหลายประเทศ
จึงน่าสนใจว่า “กลยุทธ์ 5 เดือนข้างหน้า” ของกระทรวงสาธารณสุขที่เพิ่งแถลงไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
เป็น 5 เดือนของการ “ใช้ชีวิตแนวใหม่อย่างปลอดภัย” และยังประเมินว่าอาจจะจัดหาวัคซีนได้ 124 ล้านโดสในสิ้นปีนี้อีกต่างหาก
โดยคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนครบสองเข็ม 70% ของประชากรทั้งประเทศภายในสิ้นปีนี้
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกว่า แนวโน้มสถานการณ์โดยภาพรวมของประเทศ การติดเชื้อเริ่ม “ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด”
แต่ก็ยอมรับว่าจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดความประมาท
ใน กทม.แนวโน้มผู้ติดเชื้อยังอยู่ในระดับกว่า 4 พันรายเป็นสัปดาห์แล้ว
แม้ภาพรวมไม่พุ่งสูงขึ้นมากอย่างที่กังวล แต่ก็ยังคงต้องระมัดระวังในส่วนต่างจังหวัด
โดยที่ต้องระวังคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาจากประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ระบาดกลับไปบ้านเยี่ยมญาติ โดยไม่ทราบว่าตนติดเชื้อแล้ว หรือทราบว่าติดเชื้อแต่ขอกลับไปรักษาที่บ้าน.
(พรุ่งนี้: อะไรคือ Smart Prevention, Living with Covid?)
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |