หลวงพ่อโต หรือ “ไดบุตสึ” แห่งวัดโคโตะกุ เมืองคามาคุระ
พินิจความงามของประสาทฮิเมจิจากด้านล่างอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็นั่งรถไฟชิงกันเซ็นกลับเมืองโกเบ รับกระเป๋าที่ฝากไว้กับโฮสเทลแล้วก็กลับไปขึ้นชิงกันเซ็นไปนอนที่เมืองเกียวโตเพราะติดใจและคุ้นเค้ยกับบาร์แห่งหนึ่งย่านปอนโตโชเพียงเหตุผลเดียวแท้ๆ และคืนนี้บาร์เจ้ากรรมดันปิดพอดี
หากรู้ล่วงหน้าก็คงนอนที่โกเบต่ออีกคืน เพื่อจะได้ท่องราตรีโกเบให้รู้ดำรู้แดง เพราะเมื่อคืนวานฟ้าฝนไม่เป็นใจ ส่วนเกียวโตนั้นผมเยือนมาแล้วสองครั้ง และขออนุญาตยกยอดไปเล่าให้ฟังในคราวหลัง
วันถัดมา ผมขึ้นรถไฟชิงกันเซ็นเที่ยวบ่ายโมง วิ่งปรู๊ดจากสถานีเกียวโต ภูมิภาคคันไซ ข้ามภูมิภาคชูบุ ไปยังภูมิภาคคันโต ถึงสถานีชิน-โยโกฮามา ระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
จากสถานีชิน-โยโกฮามา ผมก็นั่งรถไฟของบริษัทเจอาร์ตะวันออกต่อไปยังสถานีโยโกฮามา แล้วเปลี่ยนสายนั่งต่อไปยังสถานีคามาคุระซึ่งก็ยังเป็นของเจอาร์ตะวันออก ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะมีตั๋วเจอาร์พาสอยู่แล้ว จากสถานีคามาคุระก็ซื้อตั๋วราคา 190 เยน ใช้บริการรถไฟท้องถิ่นของบริษัท Enoshima Electric Railway เรียกว่าสาย Enoshima Dentetsu Line หรือเรียกสั้นๆ ว่า Enoden ซึ่งมีอยู่เพียงสายเดียว
รถไฟ Enoden สีเขียว พ่วงกันไม่กี่ตู้ ดูน่ารักและมีเสน่ห์มาก จอดเพียง 3 ครั้งก็ถึงสถานี Hase (ฮาเซ) เป็นสถานีเล็กๆ แต่ผู้โดยสารลงและขึ้นคราวละหลายคนเพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจบริเวณนี้คือวัดฮาเซ-เดระ และวัดโคโตะกุ
สถานีรถไฟฮาเซ เมืองคามาคุระ
ผมเดินหาเกสต์เฮาส์ Iza Kamakura อยู่ไม่นานก็เจอ ตั้งอยู่ใกล้ชายทะเลที่เป็นส่วนหนึ่งของอ่าวซากามิ แต่หาดทรายไม่สวยเท่าไหร่ อันเป็นลักษณะทั่วไปของชายหาดในประเทศญีปุ่น เช็กอินเสร็จแล้วก็เดินหาร้านอาหารในย่านใกล้ๆ สถานีรถไฟ แต่ไม่เจอร้านที่ถูกใจจึงกลับไปกินที่เกสต์เฮาส์
เมนูอาหารเย็นของเกสต์เฮาส์จะแตกต่างกันไปในแต่ละวัน และลูกค้าต้องแจ้งความประสงค์กับพนักงานก่อนเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะต้องการทำให้พอดี ไม่ขาดไม่เหลือ เมนูวันนี้คือข้าวแกงกะหรี่หมูทอด มีลูกค้ารออยู่สี่ห้าคนเท่านั้น และสำหรับผู้เข้าพักใหม่สามารถซื้อเครื่องดื่มแก้วแรกที่บาร์ได้ในราคา 300 เยน (จากปกติ500 เยน) มีเบียร์สดและค็อกเทลให้เลือก ผมจึงเรียกน้ำย่อยด้วยเบียร์สดกิริน
หลังจากเบียร์แก้วแรกหมดลงไปพร้อมกับข้าวแกงกะหรี่ ผมก็สั่งมาอีกแก้ว จากนั้นก็ขึ้นห้องพักไปหยิบเบลนด์วิสกี้ “ซันพีซ” และซิงเกิลมอลต์วิสกี้ “ยามาซากิ” ลงมาวางบนโต๊ะ เพราะอากาศภายนอกค่อนข้างหนาวจึงไม่ขอออกไปเดินเล่น ซึ่งย่านนี้ของเมืองค่อนข้างเงียบเชียบในเวลากลางคืน
กลุ่มคนหนุ่มจากอังกฤษกลับมาจากปั่นจักรยานบนถนนเลียบหาดเข้ามาขอนั่งด้วย คงเพราะเห็นวิสกี้วางหราอยู่ 2 ขวดบนโต๊ะอย่างกับเชื้อเชิญ ผมจึงบอกพวกเขาให้รินกันเอาเอง ไม่ต้องเกรงใจ หนึ่งในกลุ่มเล่าว่าพวกเขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจึงให้รางวัลตัวเองด้วยการเดินทางท่องเที่ยว
รถไฟวิ่งผ่านย่านที่อยู่อาศัยในเมืองคามาคุระ
พวกเขานั่งสนทนากันเองเสียเป็นส่วนมาก และดื่มกันคนละนิดหน่อยก็ขึ้นไปนอน นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ขึ้น 15 ค่ำ ผมจึงเดินออกไปยังบริเวณชายหาดเพื่อดูพระจันทร์เต็มดวง แต่เมฆบางบังเอาไว้ รออยู่สักห้านาทีเมื่อเมฆเคลื่อนออกก็ได้ชมจันทร์นวลดวงกลมโต เพียงครู่เดียวเมฆก้อนใหม่ก็ทำทีจะลอยเข้าไปกลบแสง อีกทั้งอากาศยิ่งหนาวหนักขึ้น ตัดสินใจเดินกลับเข้าเกสต์เฮาส์ แล้วให้ “ยามาซากิ” ช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้กลับสู่ปกติ
ในห้องส่วนกลางที่เป็นทั้งร้านอาหาร บาร์ และที่นั่งเล่น เหลือแขกของเกสต์เฮาส์ที่ยังไม่นอนอีกคนหนึ่ง และพนักงานของเกสต์เฮาส์ที่คอยดูแลความเรียบร้อย
แขกคนเดียวที่เหลืออยู่คนนั้นเข้ามานั่งกับผม เธอจะขอถ่ายรูปด้วยเพื่อเอาไปลงเฟซบุ๊ก แต่ห้องค่อนข้างมืด ผมจึงบอกว่าค่อยถ่ายพรุ่งนี้เถอะ เธอจึงเห็นด้วย และเล่าให้ฟังว่าชีวิตนางพยาบาลที่เมืองชิสุโอกะของเธอมีแต่ความเครียดและความกดดันเพราะเธออยู่แผนกฉุกเฉิน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีคนไข้ฉุกเฉินหรือประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาเมื่อไหร่ ต้องสแตนด์บายเตรียมพร้อมรอเหตุด่วนอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสก็เลยขอลาพักร้อนและปั่นจักรยานเที่ยว เมืองชิสึโอกะของเธอนั้นตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่นเช่นเดียวกับเมืองคามาคุระ โดยอยู่ห่างออกไปทางด้านล่างประมาณ 130 กิโลเมตร
เวลาตีหนึ่งกว่าๆ ผมก็ลาสาวพยาบาลขึ้นไปนอนในห้องรวม ชาวคณะผู้ดีทั้งสี่ห้าคนไม่มีใครนอนกรนเลย เป็นผลดีกับคนหลับยากอย่างผมยิ่งนัก
มุมมองจากศาลเจ้าเอโนชิมะ เกาะเอโนชิมะ เมืองฟูจิซาวะ
ตื่นเช้าขึ้นมาทางเกสต์เฮาส์ก็มีอาหารเช้าง่ายๆ ให้รับประทานฟรี ทั้งแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก พวกฝรั่งก็พุ่งไปที่ขนมปังปิ้ง และกระปุกแยม กระปุกเนย ส่วนญี่ปุ่นและไทยน้อยก็เข้าคิวตักข้าวสวยกินกับผงโรยข้าวหอมๆ ที่มีส่วนผสมหลายอย่าง รสชาติออกไปทางทะเลๆ ผสมสาหร่ายและงาขาวงาดำ เข้ากับข้าวสวยและซุปมิโสะร้อนๆ ได้ดีมาก
ผมนึกว่าพยาบาลสาวจะลืมเรื่องเมื่อคืนไปแล้ว ตอนที่ผมยังกินกาแฟไม่ทันเสร็จเธอก็มาขอถ่ายรูปจนได้ โดยลากผมไปรับแสงอาทิตย์ที่หน้าเกสต์เฮาส์เสียดิบดี ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งสูบบุหรี่หลังมื้อเช้ามีน้ำใจถ่ายรูปให้ แล้วเธอก็ไม่ลืมขอเฟซบุ๊กของผมซะด้วย ผมภาวนาว่าตอนลงรูปที่รักได้โปรดอย่าแท็กผมนะ
เสร็จภารกิจถ่ายรูปอันยิ่งใหญ่นี้แล้วผมก็เช็กเอาต์และฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับเกสต์เฮาส์ตามสูตร แล้วเดินเท้าไม่กี่นาทีก็ถึงวัดโคโตะกุ มีพระใหญ่ (ไดบุตสึ) ที่สวยงามและอลังการมากในสายตาผม ค่าเข้าชมคนละ 200 เยน
สองสาวและเจ้าเหมียวบนเกาะเอโนชิมะ
วัดนิกายโจโด-ชู แห่งนี้มีอายุมากกว่า 700 ปีแล้ว องค์พระพุทธรูปหรือหลวงพ่อโตของวัดแรกเริ่มเดิมทีสร้างขึ้นด้วยไม้เมื่อปี ค.ศ. 1243 แต่พายุก็ทำให้ทั้งศาลาและองค์พระเสียหาย จึงเรี่ยไรเงินกันสร้างขึ้นใหม่ด้วยทองสัมฤทธิ์เคลือบด้วยทองคำเปลวเมื่อปี ค.ศ. 1252 พร้อมกับสร้างศาลาใหม่ด้วย แต่ไม่วายถูกพายุซ้ำเติมในปี ค.ศ. 1334 และ ค.ศ. 1369 ทำให้ศาลาพังลงจนต้องปฏิสังขรณ์ แต่แล้วคลื่นสึนามิในปี ค.ศ. 1498 ก็กวาดศาลาทิ้งหายวับไป องค์พระจึงตั้งอยู่กลางแจ้งไม่ต้องสร้างศาลาป้องกันให้เสียเวลาเสียทรัพย์กันอีกต่อไป ทว่าเมื่อนานๆ เข้าสีขององค์พระก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวดังที่เห็นเพราะเกิดการกร่อนของโลหะ ส่วนร่องรอยของทองคำเปลวหลงเหลืออยู่เพียงบริเวณติ่งหู และเมื่อคราวแผ่นดินไหวใหญ่ในภูมิภาคคันโตเมื่อปี ค.ศ. 1923 ก็ได้ทำให้ฐานขององค์พระทรุดเสียหาย ต้องซ่อมแซมกันใหม่ ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการเสนอชื่อเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
ภายในองค์พระที่สูง 13.35 เมตร และหน้าตักกว้าง 9.10 เมตร ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของพระพุทธรูปในญี่ปุ่น (รองจากหลวงพ่อโต วัดโทไดจิ เมืองนาระ) มีลักษณะกลวงโปร่ง นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วเข้าไปชมข้างในได้ ราคาเพียง 20 เยนเท่านั้น และด้านหลังขององค์พระยังมีหน้าต่าง 2 บาน ไว้สำหรับเปิดถ่ายเทอากาศ
นอกจากเป็นที่นิยมมาเยือนของนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว วัดโคโตะกุยังถือว่ามีความสำคัญกับคนไทยด้วย เนื่องจากภายในวัดมีต้นสนที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ได้ทรงปลูกไว้เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2530 อีกทั้งยังมีต้นสนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ทรงปลูกไว้ในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินเยือนพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2472
จุดตกปลาบนเกาะเอโนชิมะ อีกฝั่งคือแผ่นดินใหญ่เกาะฮอนชู
สำหรับเมืองคามาคุระเอง แม้ในปัจจุบันจะเป็นเมืองขนาดเล็กอยู่ในจังหวัดคานางาวะ โดยห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 50 กิโลเมตร ในอดีตนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นศูนย์กลางทางการเมืองการปกครองของญี่ปุ่นถึง 141 ปี สถาปนาขึ้นโดยโชกุน “นาโตะ โนะ โยริโมโตะ” ในยุคใกล้เคียงกับที่วัดโคโตะกุถูกสร้างขึ้น ซึ่งเป็นยุคที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่าม มีวัดถึง 65 วัด และมีศาลเจ้าชินโตกว่า 20 แห่ง แม้ว่าเมืองหลวงจะอยู่ที่เกียวโตก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงในนามหรือเป็นที่ประทับของสมเด็จจักรพรรดิเท่านั้น และในช่วงนั้นคามาคุระมีประชากรของเมืองมากที่สุดในญี่ปุ่นด้วย
เวลาราว 11 โมง ผมก็เดินตามกลุ่มเด็กนักเรียนหมวกเหลืองออกมาจากวัด สังเกตเห็นหลายครั้งแล้วว่าเด็กนักเรียนในญี่ปุ่นตอนที่ออกนอกโรงเรียนไปเป็นกลุ่มนั้นจะสวมหมวกสีเดียวกัน หากเป็นเด็กเล็กๆ นอกจากหมวกสีเดียวกันแล้วก็ยังเดินเป็นแถวเกาะเชือกเส้นเดียวกันด้วย เพื่อรับรองว่าจะไม่พลัดหลงกันอย่างแน่นอน
จากสถานีฮาเซ รถไฟวิ่งเลียบทะเลและบางช่วงตัดเข้าย่านที่อยู่อาศัย แค่ชั่วอึดใจก็มาถึงสถานี Enoshima (เอโนชิมะ) แล้วเดินออกจากสถานีมุ่งหน้าริมทะเล ลอดอุโมงค์แล้วข้ามสะพานประมาณ 600 เมตรก็ถึงเกาะเอโนชิมะ เกาะเล็กๆ ที่มีความยาวรอบเกาะแค่ประมาณ 4 กิโลเมตรเท่านั้น และถึงแม้จะอยู่ไม่ไกลจากคามาคุระ แต่เกาะเอโนชิมะแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองฟูจิซาวะ
ทางเดินบนเกาะเอโนชิมะ เดินสะดวกและร่มรื่น
สองข้างทางเดินที่จะขึ้นไปยังศาลเจ้าเอโนชิมะ อายุเก่าแก่ 800 กว่าปี มีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกตั้งกันอย่างแน่นหนา บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นักท่องเที่ยวเดินชมเดินช็อปกันขวักไขว่ หน้าทางขึ้นศาลเจ้ามีทางเลื่อนอยู่ทางซ้ายมือ แต่ผมเดินเลือกขึ้นบันไดเพราะไม่ได้สูงชันอะไรนัก จากศาลเจ้ามองลงมายังด้านล่างก็ให้ภาพประตูโทริอิ ทางเดินขึ้นเขา สะพานข้ามเกาะ และแผ่นดินใหญ่ ที่ไล่เรียงลงไปอย่างสอดคล้องลงตัว
ออกจากศาลเจ้าก็มีทางให้เดินต่อไปเรื่อยๆ และมีจุดพักเป็นระยะ แม้บางช่วงจะชันนิดหน่อยแต่เดินเพลิน และไม่น่าจะเป็นอุปสรรคแม้สำหรับผู้อาวุโส บนนี้ยังมีสวนไม้ดอกไม้ประดับ จุดชมวิวหลายแห่ง ประภาคารและหอสังเกตการณ์ ถ้ำหินงอกหินย้อย ร้านอาหารร้านขายของที่ระลึก แนวหินริมเกาะที่เป็นจุดสำหรับตกปลาของพรานเบ็ด และแมวจำนวนหนึ่งที่แอบงีบอยู่ตามสวนและหน้าร้านค้า แต่ส่วนมากจะถูกนักท่องเที่ยวทาสแมวปลุกมาเกาคางลูบหัว หวังว่าบรรดาเจ้าเหมียวจะไม่เคืองขุ่นแม้สีหน้าบ่งบอก
การเดินทางด้วยจักรยานทำให้ร่างกายแข็งแรงแถมได้ชมวิวงาม
เมื่อเดินวนรอบเกาะกลับไปใกล้ๆ ศาลเจ้าเอโนชิมะ มีจุดที่เหมาะเหม็งสำหรับเห็นไกลถึงภูเขาไฟฟูจิ แต่วันนี้ฟ้าไม่เปิด มองเห็นเพียงรางๆ จากนั้นก็เดินลงไปยังด้านล่าง เลี้ยวขวาผ่านร้านขายอาหารทะเลสดๆ ถัดไปเป็นร้านอาหารเรียงกันหลายร้านแต่ผมเลือกไม่ถูก จนต้องเดินออกจากเกาะ แล้วแวะกินข้าวโปะด้วยปลาตัวเล็กๆ ลักษณะคล้ายปลาข้าวสาร ไข่ปลาแซลมอน และเนื้อปลาดิบซอยชิ้นเล็กๆ ผมเชื่อว่าร้านบนเกาะน่าจะอร่อยกว่า แต่สายไปเสียแล้ว
เมื่อขึ้นรถไฟกลับไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้เพื่อจะเดินทางไปค้างคืนที่เมืองโยโกฮามา ผมก็ใช้โทรศัพท์มือถือเข้าสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากเกสต์เฮาส์
พยาบาลสาวโพสต์เฟซบุ๊กแท็กผมเรียบร้อยแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |