นับเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในห้วง 2 ปีเศษ สำหรับ ดร.แด๊ก-ธนกร วังบุญคงชนะ  
    คนแรกคือ อาจารย์แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ได้รับคำแนะนำจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ให้สละเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ มาเป็นโฆษกรัฐบาล เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เห็นศักยภาพในระยะใกล้ตา  
    แต่ในตำแหน่งโฆษกรัฐบาลของ ‘อาจารย์แหม่ม’ ที่ดูเหมือนใกล้แต่ยิ่งไกล พล.อ.ประยุทธ์ ออกไปเรื่อยๆ หลังผลงานไม่เป็นที่ประทับใจ ทำให้ระยะหลังๆ หันไปเป็นเงาของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ   
    ความใกล้ชิดกับ ‘บิ๊กป้อม’ นี่เอง ทำให้ ‘อาจารย์แหม่ม’ เข้าใกล้ความจริงในการได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต ก่อนจะสมหวัง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รมช.แรงงาน 
    หลัง ‘อาจารย์แหม่ม’ ลาออกจากโฆษกรัฐบาลเพื่อไปเป็นรัฐมนตรี เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ และแกนนำพรรคพลังประชารัฐขณะนั้น ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ผลักดัน เสี่ยเจมส์-อนุชา บูรพชัยศรี เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ ที่เป็นเพื่อนสนิท ให้มานั่งทำหน้าที่โทรโข่งแทน 
    ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะกลุ่มของนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล และ ร.อ.ธรรมนัส พยายามสนับสนุนคนในพรรคให้มานั่งในเก้าอี้นี้ เพราะมองว่า ‘เสี่ยเจมส์’ เป็นคนนอก ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค  
    แต่ด้วยพลังวัดของ ‘เสี่ยตั้น’ ในตอนนั้นที่ค่อนข้างมีมาก โดยเฉพาะสายสัมพันธ์กับ ‘บิ๊กตู่’ ตลอดจนทีมงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำให้ชื่อ ‘เสี่ยเจมส์’ เข้าวินในตอนท้าย 
    ‘เสี่ยเจมส์’ ได้รับความคาดหวังสูง เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ค่อนข้างให้เครดิตกับบรรดาศิษย์เก่าจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ภาพลักษณ์ดี ขึ้นชื่อลือชาเรื่องสกิลการตอบโต้ชี้แจง  
    แต่ดูเหมือนว่า ‘เสี่ยเจมส์’ ถูกประเมินสูงเกินไป เพราะเมื่อรับตำแหน่งแล้ว ผลงานกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการโฆษกรัฐบาลที่ครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทันการณ์ ตลอดจนการตอบโต้ทางการเมืองเวลาตนเองและรัฐบาลถูกพาดพิง แต่อดีตเด็กจากพรรคประชาธิปัตย์กลับถูกมองว่าเชื่องช้า และไม่ค่อยบู๊ทางการเมืองเท่าที่ควร 
    สถานการณ์ ‘เสี่ยเจมส์’ ยิ่งแย่ลง เมื่อเพื่อนรัก ‘เสี่ยตั้น’ ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกจากคดีชุมนุม กปปส. และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เช่นเดียวกับ ‘เสี่ยบี’ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ที่ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จากกรณีเดียวกันไปด้วย ทำให้เหมือนคนตัวเปล่าเล่าเปลือยในระยะหลังๆ  
    ในช่วงอุณหภูมิทางการเมืองร้อน เกิดประเด็นต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มสามนิ้ว หรือสงครามข่าวสารเรื่องโควิด-19 ที่ประดังประเดใส่รัฐบาล ทีมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ถูกโจมตีหนักว่าล่าช้า สถานการณ์ ‘เสี่ยเจมส์’ ยิ่งดูไม่สู้ดี จนมีข่าวเลื่อยขาเก้าอี้ออกมาเรื่อยๆ 
    กระทั่งคนรอบตัว พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่า ถึงเวลาที่ต้องทบทวนและเปลี่ยนแปลงตัวโทรโข่งรัฐบาลใหม่ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ จนนำมาสู่การแต่งตั้ง ‘ดร.แด๊ก’ เป็นโฆษกรัฐบาลคนใหม่ และ โยกเอา ‘เสี่ยเจมส์’ ไปเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง  
    สำหรับ ‘ดร.แด๊ก’ เก้าอี้โฆษกรัฐบาลตัวนี้คือ ความฝันตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาพรรคพลังประชารัฐ โดยพยายามแสดงฝีมือในตำแหน่งโฆษกพรรคก่อน แต่ต้องผิดหวัง เพราะถูกมองว่าได้มิติทางการเมืองมิติเดียว ประกอบกับช่วงแรกๆ ทีมงานรอบตัวนายกฯ ไม่ไว้วางใจกลุ่มสามมิตรเท่าไหร่ สุดท้ายนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในตอนนั้น จึงรับเอาไปดูแลและแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการ รมว.คลัง 
    ที่กระทรวงการคลัง ‘ดร.แด๊ก’ ได้รับความไว้วางใจจากนายอุตตมให้ทำงานหลายเรื่อง โดยเฉพาะช่วงการเยียวยาโควิด-19 ในรอบแรก ประกอบกับเจ้าตัวยังคงตอบโต้ประเด็นทางการเมือง โดยเน้นการปกป้องนายกฯ และงานกระทรวง จึงทำให้มีพื้นที่อยู่บนหน้าสื่อบ่อยครั้ง 
    แต่เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอุตตมและ 4 กุมาร ตัดสินใจลาออก จึงเข้าสู่ภาวะเคว้งอีกครั้ง โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม และแกนนำกลุ่มสามมิตร ได้ฟากฝัง ‘ดร.แด๊ก’ มาอยู่กับ ‘เสี่ยแฮงค์’ อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในเวลาต่อมา 
    แม้เก้าอี้ใหม่จะดูเล็กกว่าตัวเดิม แต่การได้มาทำงานในทำเนียบฯ กลายเป็นโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้นายกฯ มากขึ้น โดย ‘ดร.แด๊ก’ พยายามตอบโต้ฝ่ายการเมืองตรงข้ามแทบจะทุกเรื่องที่แตะต้อง รัฐบาล โดยเฉพาะตัว ‘บิ๊กตู่’ ขนาบคู่กันมากับ แรมโบ้อีสาน-เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ 
    ประจวบเหมาะกับช่วงการเมืองร้อน กับผลงานของ ‘เสี่ยเจมส์’ ดร็อปลง ‘ดร.แด๊ก’ จึงเริ่มเข้าตา ‘บิ๊กตู่’ และทีมงานมากขึ้น ก่อนจะได้อัปเลเวลเป็นโฆษก ศบศ.อีกบทบาท จากนั้นพยายามปั่นผลงานผ่านการตอบโต้-ชี้แจงรายวัน เพื่อให้นายกฯ เห็นว่าตัวเองทำได้ ไม่ว่าจะในมิติการเมืองหรือเศรษฐกิจ กระทั่งสมใจอยากในที่สุด 
    ทว่า เก้าอี้ตัวนี้ค่อนข้างมีอาถรรพ์ เนื่องจากสเปกและความคาดหวังของ ‘บิ๊กตู่’ และทีมงานค่อนข้างสูง อยากได้คนที่ครบเครื่อง เหมือนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยมี รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนา ยากร แต่ผิดหวังมาหลายคน                
    จึงต้องดูว่า เมื่อเข้ามาได้แล้ว จะเจอปัญหางานไม่เข้าเป้าเหมือนกับรายก่อนๆ หรือไม่ หรือจะต้องมีโฆษกคนที่ 4 ในรัฐบาลชุดนี้อีก.