ในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั่วโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามปริมาณการใช้งานออนไลน์ของธุรกิจและผู้ใช้งานที่สูงขึ้น หากเป็นเช่นนั้นแล้วธุรกิจไทยก็ควรพิจารณาทำประกันภัยไซเบอร์ เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อตัวธุรกิจ นอกเหนือไปจากการวางแนวทางป้องกันและลงทุนในระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อจำกัดความเสียหายอีกด้วย
นายพันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง บริษัท PwC ประเทศไทย ให้ความเห็นได้ว่า วันนี้องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเติบโตตามปริมาณการใช้งานออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การทำงานระยะไกล การประชุมทางไกล การใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้โอกาสและความรุนแรงของการโจมตีทางไซเบอร์ยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและเกิดได้ง่ายขึ้น หากไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งเพียงพอ
ดูเหมือนว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังสอดคล้องกับรายงานของ PwC ซึ่งได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ขององค์กรในสหรัฐอเมริกา พบว่า 64% ของผู้ร่วมการสำรวจคาดว่าจะเห็นปริมาณของการเรียกเงินค่าไถ่จากเหยื่อ หรือแรนซัมแวร์มากที่สุดในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
นอกจากนี้ รายงาน Global Digital Trust Insights 2021 ของ PwC ยังพบว่า 96% ขององค์กรทั่วโลกได้หันมาปรับกลยุทธ์ด้านความมั่งคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีสารสนเทศในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของการทำงานในแบบดิจิทัล
สำหรับการโจมตีผ่านช่องทางการให้บริการคลาวด์โดยใช้มัลแวร์หรือแรนซัมแวร์ มีแนวโน้มจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระยะข้างหน้า โดยการโจมตีมักเกิดขึ้นกับระบบใดระบบหนึ่งก่อน เช่น คอมพิวเตอร์ของพนักงาน จากนั้นจึงลุกลามไปยังระบบหรือส่วนงานอื่นๆ ก่อนที่จะมุ่งเป้าไปที่การโจรกรรมข้อมูล
โดยผู้โจมตีมักแฝงตัวเข้ามาภายในเครือข่ายของบริษัทประมาณ 6-18 เดือนก่อนเริ่มดำเนินการโจมตี โดยจะเริ่มสำรวจข้อมูลของเครือข่าย ระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ข้อมูลพนักงาน ข้อมูลคู่ค้า และวิธีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้ใช้งาน เป็นต้น หลังจากนั้นจึงสวมรอยเป็นคู่ค้า หรือพนักงานเพื่อหลอกให้มีการโอนเงินไปยังบัญชีที่ต้องการผ่านทางอีเมล ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า Business Email Compromise (BEC)
ทั้งนี้ รายงาน Internet Crime Report 2020 ของ FBI พบว่า การหลอกให้โอนเงินผ่านทางอีเมลเป็นหนึ่งในรูปแบบการโจมตีที่ได้รับรายงานความเสียหายมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 54,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
การมีเครื่องมือตรวจสอบและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมทั้งการป้องกันการโจมตีและตรวจสอบภัยคุกคามทางไซเบอร์ผ่านศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังความมั่นคงปลอดภัยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะถึงแม้ว่าองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐจะมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นอย่างดี แต่ก็อาจตกเป็นเป้าของการโจมตีของมิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีได้
การทำประกันภัยทางไซเบอร์กำลังได้รับนิยมไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย เพราะเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเป็นการถ่ายโอนและกระจายความเสี่ยงบางส่วนไปยังบุคคลที่สาม เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และประเมินความปลอดภัยของระบบงานที่เกี่ยวข้อง นอกเหนือจากการบริหารจัดการภายใน โดยปัจจุบันมีบริษัทประกันภัยของไทยหลายแห่งหันมาขยายตลาดในด้านนี้เพิ่ม สอดคล้องกับความต้องการที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
องค์กรที่ให้ความสำคัญและมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ดีจะสามารถต่อกรกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้บริหารต้องสำรวจองค์กรของตัวเองว่ามีความพร้อมในการรับมือความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์มากหรือน้อยแค่ไหน หรือต้องทำอย่างไรเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอและมีแผนในการรับมือต่อการโจมตีนั้นๆ การมีวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่ดีจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดผลกระทบจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืนนั่นเอง.
รุ่งนภา สารพิน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |