วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคการเมือง นักการเมืองจับจ้อง ว่าด้วย การได้มาซึ่ง ส.ส.เขตเลือกตั้ง 400 ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ระบบเลือกตั้งบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พร้อมกับวิธีการคิดคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผลสรุปออกมา คงมีทั้งพรรคการเมืองที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ ผสมปนเปกันไป พรรคการเมืองไหนถูกใจ คงเป็นเพราะ ‘เข้าทาง’ จะได้ประโยชน์จากระบบที่มีการแก้ไข ส่วนพรรคการเมืองไม่ถูกใจ คงจะเสียประโยชน์ จากระบบที่มีการแก้ไข ถึงได้ส่งเสียง โวยวาย แต่สุดท้ายก็ถูกตัดสินด้วยระบบเสียงข้างมากตามระบบประชาธิปไตย  
    หลังปมประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถกเถียงกันมานานจบลงไป จากนี้ไปเข้าสู่ประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้านรอคอย การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามที่ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย ร่วมกันเข้าชื่อเสนอญัตติต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ  
    พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 6 รัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเศรษฐกิจและเพื่อสังคม 
    หลังจากนี้รอเพียงการตรวจสอบญัตติความถูกต้อง รอการบรรจุวาระ กำหนดวัน เวลาอภิปราย ที่คาดกันว่า น่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยายน  
    เนื้อหาการอภิปราย ซักฟอก ฝ่ายค้าน ชูประเด็นไฮไลต์ การบริหารงานผิดพลาด ล้มเหลว ต่อการแก้ไขการแพร่ระบาดไวรัสโควิด ปมประเด็นเรื่องการจัดหาวัคซีน การกระจายวัคซีนที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย ผิดพลาด ล่าช้า ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก กระทบกับระบบเศรษฐกิจไปวงกว้าง ประเด็นความผิดพลาดของรัฐมนตรีบางคนที่จะโยงให้เห็นถึงพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลในช่วงที่รับตำแหน่ง  
    ในการอภิปรายครั้งนี้ ข้อมูลของแต่ละพรรคถูกเก็บเงียบ ไม่นำข้อมูลมาแชร์กันบนโต๊ะพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีแค่การบอกหัวข้อเอาไว้กว้างๆ เท่านั้น ป้องกันข้อสอบรั่วไปถึงมือฝ่ายรัฐบาล รัฐมนตรี ให้มีเวลาเตรียมตัว 
    ศึกซักฟอกครั้งนี้ แม้จะยังไม่มีการ กำหนดวัน เวลาอภิปราย จำนวนผู้อภิปราย เวลาของแต่ละคน เพราะยังต้องรอการหารือกับวิปฝ่ายรัฐบาล แต่พรรคเพื่อไทยได้เตรียมผู้อภิปรายไว้ถึง 18 คน ส่วนใหญ่เป็นหน้าเดิมในเวทีสภา อาทิ ‘สุทิน คลังแสง’ ‘ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร’ ส.ส.มหาสารคาม ‘ประเสริฐ จันทรรวงทอง’ ส.ส.นครราชสีมา ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ ส.ส.น่าน ‘วิสาร เตชะธีราวัฒน์’ ส.ส.เชียงราย จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด เป็นต้น     
    สุทิน ออกมาระบุแสดงถึงความมั่นใจในข้อมูลของฝ่ายค้าน ส่งสัญญาณขู่ไปถึงรัฐบาล
    “มีทั้งที่มีใบเสร็จ และบางส่วนที่มีการทุจริต ความไม่ชอบมาพากลสมัยใหม่ไม่มีใบเสร็จ เมื่อไม่มีใบเสร็จก็จะชี้ให้เห็นว่าเมื่อได้ฟังแล้วจะเชื่อได้ว่ามีการทุจริต และความผิดพลาด ไม่มีใบเสร็จหรอกสมัยใหม่ แต่พูดแล้วเชื่อ ส่วนจะน็อกได้หรือไม่ เชื่อว่าอยู่ที่ระดับสำนึกของรัฐบาลว่า เป็นรัฐบาลที่มีสำนึกและรับผิดชอบต่อประชาชนสูง วันนี้ประชาชนน็อกรัฐบาลไปแล้ว และสังคมอภิปรายไปก่อนเราแล้ว ไม่ต้องถึงมือเรา แต่เชื่อว่าหากถึงมือเราถ้าอยู่ก็คงลำบาก" 
    ฝ่ายค้านเล็งเป้าหลัก ซักฟอก บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ เสี่ยหนู-อนุทิน ปมการแก้ปัญหาโควิด-19 แต่สำหรับ ข้อมูลที่จะเขย่าขวัญ ทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรมไปได้ คงอยู่ที่ใบเสร็จ พฤติกรรมที่นำไปสู่การทุจริต เอื้อพวกพ้อง กลุ่มคนใกล้ชิด ยังไม่แน่ชัดว่า เพื่อไทย ฝ่ายค้าน จะสืบสาวหาใบเสร็จมาแฉรัฐมนตรีฝ่ายรัฐบาลได้มากน้อยเพียงไร 
    ยังไม่ถึงวันอภิปราย กลายเป็นฝ่ายค้านเปิดศึกซักฟอกกันเอง ระหว่าง ก้าวไกล เพื่อไทย ปมชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถูกตัดชื่อออกจากศึกซักฟอก กลายเป็นวิวาทะกันอย่างดุเดือดในโลกออนไลน์ ในเวลาต่อมาแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านจะออกมาสยบข่าว ไม่มีความขัดแย้งแล้ว 
    แต่บางพรรคจะยังติดใจอะไรหรือไม่ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แสดงให้เห็นถึงรอยร้าว สะท้อนไปถึงความเป็น เอกภาพของ 2 พรรคใหญ่ในฝ่ายค้าน ถึงแม้แต่การอภิปรายจะเดินหน้าไปต่อ แต่ก็เริ่มมีเสียงครหา เย้ยหยัน ก่อนศึกซักฟอกจะเริ่มว่าจะชกเต็มหมัดเพียงใด หรือท้ายสุดเป็นเพียง มหกรรมปาหี่ มวยล้ม     
    ว่ากันว่ายังมีอีกปมที่น่าจับตา นักอภิปรายบางคนรอบนี้อาจจะไม่ขอ อภิปรายซักฟอก ท่ามกลางกระแสข่าว เป็นการส่งสัญญาณบ่งบอกนัยพรรคที่ตัวเองสังกัดว่า ในการเลือกตั้งรอบหน้าจะไม่ได้สังกัดพรรคนี้อีกแล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งสัญญาใจ ไปถึงพรรคการเมืองใหม่ด้วยว่า จะไปร่วมงานอย่างแน่นอน 
    ว่ากันอีกว่า ก่อนเปิดศึกอภิปราย ได้เห็นแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเปิดศึกซักฟอก ลากไส้กันเอง ระหว่างทำการอภิปรายอาจจะได้เห็นการชกไม่เต็มหมัด ไปจนถึงในช่วงโหวตลงมติ จะมี ส.ส.ฝ่ายค้านหน้าใหม่คนใดจะป่วยกะทันหัน หายหน้าไม่มาร่วมโหวตอย่างไม่ทราบสาเหตุอีกหรือไม่ 
     ศึกอภิปรายครั้งนี้คงจะเป็นการฉายภาพให้เห็นทั้งในแง่เอกภาพ สัมพันธภาพ เสถียรภาพ ของพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เป็นอย่างดี.