ผมได้รับทราบว่าโครงการผลิตวัคซีนสัญชาติไทยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ชื่อ ChulaCov19 กำลังระดมทุนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คนไทยทั้งประเทศตั้งความหวังไว้
แต่ก็เกิดคำถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงไม่ทุ่มทุนเพื่อให้ความฝันของคนไทยในเรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นจริง
โดยไม่ต้องให้ทีมงานต้องทุ่มเทสุดตัวเพียงฝ่ายเดียว เพื่อที่จะสามารถผลิตวัคซีนของคนไทยให้ใช้ได้ทันกลางปีหน้าอย่างที่เรารับทราบมา
เมื่อสัปดาห์ก่อน นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเยี่ยมโครงการนี้กับโคงการ “ใบยา” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่กำลังพัฒนาวัคซีนของไทยเหมือนกัน
ฟังดูเหมือนนายกฯ ประกาศสนับสนุนให้เกิดวัคซีนสัญชาติไทยอย่างเต็มที่
แต่พอถามไถ่ถึงรายละเอียดว่าสิ่งดีๆ อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ ก็ได้รับคำตอบว่ายังมีอุปสรรคอีกหลายเรื่องที่ยังเป็นคำถามอยู่
นั่นแปลว่า แม้ความสามารถของนายแพทย์และนักวิจัยคนไทยจะไม่แพ้ใคร แต่จะพ่ายคนอื่นก็ตรงที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวเอง เพราะรัฐบาลไม่กระโดดลงมาช่วยอย่างจริงจัง
เช่นเรื่องงบประมาณและระบบราชการที่ยังเป็นปัญหา ที่อาจจะทำให้เรื่องดีๆ ในจังหวะสำคัญๆ อย่างนี้เกิดไม่ได้
ผมได้รับทราบมาว่าเพื่อให้วัคซีน ChulaCov19 mRNA สามารถใช้กับประชาชนได้จริงภายในก่อนสงกรานต์ปีหน้าจะต้องระดมทุนจำนวนหนึ่ง
และเมื่อรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายที่จะลงทุนเต็มที่ ทีมงานวิจัยของจุฬาฯ เองก็ต้องระดมเงินบริจาคจากประชาชนเอง
ทั้งๆ ที่ถึงวันนี้เรายังต้องพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศทั้งหมด และต้องใช้เงินหลายหมื่นล้านเพื่ออ้อนวอนขอร้องซื้อวัคซีน mRNA จากต่างประเทศ
ผมทราบมาว่า ทีมวิจัยนี้กำลังพยายามระดมทุนเพื่อทำให้งานวิจัยนี้สามารถสร้างประโยชน์ให้คนไทยได้จริงในกลางปีหน้า
งบประมาณที่ต้องใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท
และยังขึ้นอยู่กับกติกาการขึ้นทะเบียนที่ต้องเร่งดำเนินการ
หากจะให้ทันตารางเวลาที่เร่งด่วน (เพราะไทยเรายังขาดวัคซีนจำนวนมาก) องค์การอาหารและยา (อย.) จะต้องออกกฎกติกาให้ชัดเจนภายในไม่ช้ากว่าเดือนกันยายนนี้ นั่นคือเดือนหน้านี้
ส่วนเงินที่ต้องใช้นั้นมีลำดับดังนี้
หาก อย.กำหนดให้ต้องทำการทดสอบในอาสาสมัครระยะที่สาม (Phase 3) ด้วยจำนวนอาสาสมัคร 15,000-20,000 คน ต้องใช้งบประมาณ 1,500 ถึง 2,000 ล้านบาท
ถ้าหาก อย.กำหนดให้ทำการทดสอบระยะสองบี (Phase 2b) จะมีอาสาสมัคร 5,000 คน งบประมาณที่ต้องใช้ก็ตกประมาณ 600 ล้านบาท
นอกจากนี้ งบประมาณสำหรับจองซื้อสารเคมีและวัตถุดิบเบื้องต้นจะอยู่ที่ราวๆ 960 ล้านบาท
ถ้าประเทศไทยต้องการให้มีอย่างน้อย 1 ใน 4 วัคซีนได้รับการรับรอง EUA (Emergency Use Authorization) ภายในเดือนเมษายนปีหน้า ก็ต้องมีเงื่อนไขดังนี้
1.การระดมทุน ต้องมีเป้าหมายร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน โดยต้องมีงบที่เพียงพอรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2.อย.ต้องออกกติกาในการขึ้นทะเบียนวัคซีนให้ชัดเจนภายในเดือนหน้า โดยระบุให้ชัดว่าการขึ้นทะเบียนจะต้องวิจัยระยะสองบีและ/หรือระยะสามอย่างไรจึงจะเพียงพอ
3.จะต้องหาโรงงานที่สามารถผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพและจำนวนมากได้
4.ต้องมีความชัดเจนในนโยบายการจองและจัดซื้อวัคซีนล่วงหน้า
แม้ว่านายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะหาทางสนับสนุนเรื่องงบประมาณ แต่เป็นที่รู้กันว่ากระบวนการตัดสินใจกับกระบวนการขับเคลื่อน ตลอดจนกระบวนการพิจารณาก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง
และแม้ว่าจะอนุมัติงบประมาณแล้ว ก็ยังหวังไม่ได้ว่าจะได้เงินเท่าใดและจะทันกับการเร่งรัดของงานหรือไม่
ประสบการณ์ของทีมวิจัยนี้กับเงินสนับสนุนก้อนแรก 356 ล้านบาท ซึ่งอนุมัติมาเมื่อเดือนสิงหาคม ก็เพิ่งได้เงินลูกงวดแรกแค่ 40% เท่านั้น
ส่วนอีก 60% ยังมีขั้นตอนสลับซับซ้อนมากมาย
แม้จะลงนามเซ็นสัญญากันแล้ว เงินก็ยังเบิกไม่ได้เพราะมีรายละเอียดตามระเบียบราชการเยอะแยะมากมาย
ทีมวิจัยหวังว่า การระดมทุนจากประชาชนอาจจะช่วยเร่งรัดให้งานเดินไปข้างหน้าได้ตามกำหนด
“ระหว่างรอเงินจากรัฐบาล เราก็หันมาพึ่งประชาชนครับ ถ้ามีคนชั้นกลางประมาณ 100,000 คน บริจาคคนละเฉลี่ยประมาณ 10,000 บาท เราก็น่าจะได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท...สำหรับเดินหน้าเพื่อไม่ให้งานวิจัยที่กำลังไปได้ดีต้องชะงัก” หนึ่งในทีมวิจัยบอกผม
เพราะอีกประเทศหนึ่งที่เป็นตัวอย่างของการที่รัฐบาลเอาจริงกับการวิจัยวัคซีนคือเกาหลีใต้
รัฐบาลเกาหลีใต้เพิ่งประกาศเป็นนโยบายแห่งชาติเตรียมทุ่มกว่า 2 พันล้านเหรียญ (กว่า 66,000 ล้านบาท) เพื่อวิจัยและพัฒนาวัคซีนสู้โควิด
โดยยกระดับให้โครงการผลิตวัคซีนของตัวเองเท่ากับการลงทุนใน Deep Tech อื่นๆ เช่น semiconductor
ด้วยการเร่งรัดให้เกิดการพึ่งตนเอง และร่วมประสานกับอังกฤษ เยอรมนี และสหรัฐฯ
รัฐบาลเกาหลีใต้บอกว่า ตอนนี้การฉีดวัคซีนให้ประชาชนยังล่าช้า ประชาชนที่ได้วัคซีนเข็มแรกยังไม่ถึงครึ่งประเทศ
รัฐบาลของเขาออกมาขอโทษประชาชน เหตุที่ล่าช้าเพราะต้องพึ่งคนอื่น และวัคซีนที่สั่งไปก็ไม่มีของส่งมา ไม่ว่าจะเป็น AstraZeneca, Moderna, Pfizer หรือ Johnson&Johnson
เกาหลีใต้จึงตัดสินใจเดินหน้าวิจัยและพัฒนาวัคซีนของตน เริ่มด้วยการที่รัฐบาลทุ่มกว่า 66,000 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะมีวัคซีนของตัวเองใช้ในครึ่งปีแรกของปีหน้า
และยังตั้งเป้าว่า การพัฒนาวัคซีนของเขาจะต้องทันกับสหรัฐฯ, จีน, ยุโรป และอินเดียใน 5 ปีข้างหน้า
อีกทั้งประกาศสนับสนุน 7 บริษัทในประเทศให้พัฒนาวัคซีน mRNA และ Protein-based vaccine ด้วย
ถ้าไทยเรายังเดินช้าและไม่มีความแน่นอน...เราอาจจะตกรถไฟขบวนใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็ได้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |