'เพื่อไทย' จัดเสวนารุมสับรัฐบาลล็อกดาวน์ล้มเหลว ระบบเศรษฐกิจใกล้พังทลาย


เพิ่มเพื่อน    

23 ส.ค.64 - ที่พรรคเพื่อไทย มีการจัดงานสัมมนา “จากล็อกดาวน์ สู่น็อคดาวน์ประเทศไทย” มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นพ.กิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ร่วมเสวนา 

นายพิชัย กล่าวว่า  รัฐบาลล้มเหลวทุกด้าน เศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วยิ่งหนัก ไตรมาสแรกของปี 2564 จีดีพีติดลบ 2.6% และไตรมาสต่อไปจะติดลบหนักขึ้น หนี้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น 93% ในปลายปีนี้  ถือว่าสูงมาก สำนักข่าวบลูมเบิร์ครายงานว่าประเทศไทยประสบกับภาวะการขาดดุลแฝง คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลทางการคลังพร้อมกัน หลังจากไม่ได้เจอสภาวะนี้มา 10 ปี เพราะรายจ่ายมากกว่ารายรับ แม้สภาวะดังกล่าวจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อการส่งออก แต่ทำให้ต่างชาติไม่มีความมั่นใจต่อประเทศไทยในระยะยาว จึงเสนอทางออก 5 ข้อ ได้แก่ รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมหามาตรการรองรับการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด ออกนโยบายคนละครึ่ง รัฐบาลครึ่งหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยครึ่งหนึ่ง ลงขันกันออกนโยบายเศรษฐกิจ เช่น นโยบายตัดต้นตัดดอก โดยต้องคิดล่วงหน้า นำเอาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ เช่น เร่งจองวัคซีนเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้ประชาชนอยู่กับโควิด-19 ให้ได้ หยุดทำร้ายประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องวัคซีนที่มีคุณภาพ ดำเนินการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่ทำร้ายประชาชนอย่างชัดเจน  เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง 

นพ.กิตติศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลบริหารจัดการสถานการณ์โควิดล้มเหลว ประชาชนล้มตาย จำนวนมาก ทั้งที่การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยากซ้ำซ้อน แต่รัฐบาลทำช้าซ้ำซาก โรคจึงระบาดเพราะควบคุมการระบาดไม่ได้ การล็อกดาวน์ยาวนานขนาดนี้ หากบริหารจัดการดี ความสูญเสียจะลดลงไปมาก โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพทันต่อการกลายพันธุ์ของเชื้อโรค ต้องจัดหามาอย่างรวดเร็วและทันการณ์ ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน คนไทยได้รับวัคซีนเข็มแรก 18% เข็มสอง 6.9% หรือเพียง 24% ขณะที่ทั่วโลกได้รับวัคซีนเฉลี่ยอยู่ที่ 31% สิงคโปร์ 77%

นอกจากนี้ควรควบคุมโรคเชิงรุกด้วย ATK อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ ถ้ารัฐบาลฟังข้อเสนอและเร่งจัดซื้อ เพื่อปูพรมตรวจและคัดแยกตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ประเทศไทยจะไม่เดินมาถึงจุดนี้ การรักษาคนไข้ ไม่ให้เกิดเหตุนอนตายที่บ้าน รัฐบาลต้องจัดการเป็นพิเศษ ตั้งวอร์รูมรับและส่งต่อ กระจายการรักษาคนไข้ไปยังพื้นที่มีศักยภาพอย่างถูกวิธีด้วยระบบปิด อุปกรณ์ สถานที่ และบุคลากร รัฐจะต้องจัดสรรให้และต้องมีประสิทธิภาพ 

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า การล็อกดาวน์ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ล้มเหลว และกำลังนำไปสู่การพังทลายของระบบเศรษฐกิจ เป็น 6 ขั้นบันไดสู่หายนะทางเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ ซึ่งได้แก่ 1.ล็อกดาวน์ ช้าและไร้ประสิทธิภาพ รัฐบาลปล่อยให้เชื้อโควิด สายพันธุ์เดลต้าระบาดทั่วพื้นที่กทม.แล้วจึงล็อกดาวน์ และยังเป็นการล็อกดาวน์แบบเหมาเข่งซึ่งทั่วโลกไม่ทำ การล็อกดาวน์ที่หลายประเทศดำเนินการ คือการเล็งเป้าหมายในการล็อกดาวน์ ไม่ล็อกดาวน์ภาคธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความเสียหายในราคาสูง โดยศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทยเคยประเมินว่า ความเสียหายจากการล็อกดาวน์ครั้งนี้อยู่ที่เดือนละ 2.6 แสนล้าน หรือวันละ 8,000 ล้านบาท เมื่อความเสียหายมีราคาสูง ทุกวันจึงมีคุณค่า การล็อกดาวน์ก็ต้องคุ้มค่าที่จะจ่าย 2.เทิร์นดาวน์ รัฐบาลไม่รับฟังข้อเสนอจากภาคส่วนต่างๆ นำเสนอเป็นจำนวนมาก เช่น พรรคเพื่อไทยเคยนำเสนอมาตรการคงการจ้างงาน ซึ่งไม่ใช่การแจกเงินทั่วไป แต่ต้องจ่ายตรงไปที่นายจ้าง เพื่อให้นายจ้างรักษางานเก่าของแรงงานไว้ให้ได้อย่างน้อย 90% ไม่ใช่รอตกงานแล้วหางานใหม่ให้ ซึ่งต้นทุนทางงบประมาณสูงกว่า ทั้งนี้แม้รัฐบาลจะดำเนินมาตรการคงการจ้างงาน แต่ทำไปโดยไม่เข้าใจวิธีการอย่างแท้จริง  

3.สโลว์ดาวน์ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ เกิดจากรัฐบาลสโลวไลฟ์ที่ออกมาตรการช้าและไม่ถูกทิศทาง เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 5 แสนล้านบาท ยอดวงเงินน้อยมากเพียงครึ่งหนึ่งของความต้องการของระบบอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่ออกมาตรการซอฟต์โลนมาเป็นระยะเวลา 1 ปี 4 เดือน ปล่อยสินเชื่อได้เพียง 2.5 แสนล้านบาท หรือครึ่งหนึ่งของวงเงินสินเชื่อ คิดเป็น 1 ใน 4 ของความต้องการเท่านั้น 4.ชัตดาวน์ ภาคเอกชนทยอยปิดกิจการลงเรื่อยๆ จนไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ให้กับธนาคาร เมื่อปิดกิจการก็ต้องปลดคนงาน คนงานไม่มีเงินจ่ายหนี้ ส่งผลต่อรายรับของธนาคาร 

5.เบรกดาวน์ ภาคสถาบันการเงินจะเริ่มมีปัญหาและอาจพังลง เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้น้อยลง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างความอันตรายของการให้สินเชื่อในช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด ยังน้อยกว่าการไม่ให้สินเชื่อซอฟต์โลน 1 ล้านล้านบาท แล้วปล่อยให้ภาคเอกชนพังลงแบบนี้ 6.น็อคดาวน์ เมื่อสถาบันการเงิน ภาคเอกชน ตลาด ภาคครัวเรือน มีปัญหา เศรษฐกิจไทยจะถูกน็อกดาวน์ หากเปรียบเป็นมวยที่แพ้เพราะถูกหมัดน็อกจนล้มลง เป็นความเสียหายถาวร ห่วงโซ่การผลิต การลงทุนจากต่างประเทศ การท่องเที่ยว ชื่อเสียง ความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ  เสียหายอย่างถาวร  

นายเผ่าภูมิกล่าวอีกว่า ตอนนี้ประเทศไทย กำลังก้าวไปสู่บันไดขั้นที่ 5 แม้จะยังไม่ถึงในตอนนี้ แต่มีแนวโน้มและใกล้เคียง เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องป้องกันความเสียหายอย่างทันท่วงที สิ่งเหล่านี้ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็นความเสียทางเศรษฐกิจที่รุนแรง หากปล่อยไว้จะยิ่งไหล รั่ว พัง รัฐบาลควรใช้มาตรการทางการเงินและมาตรการทางการคลัง ให้ตรงจุด รวดเร็ว ทันการณ์และชาญฉลาด 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"