เมือคืนก่อนขณะนอนดูเฟสบุคไปเรื่อยๆ ผมได้พบพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯภาพหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตาจากที่เคยพบเห็นมาทั้งหมด ในภาพเห็นพระองค์ทรงมีร่องรอยแห่งความสุขตามธรรมชาติของคนหนุ่มในวัยกำลังจะ ๒๐ ชัดเจนทั้งบนพระพักตร์และแววพระเนตร นี่อาจจะเป็นภาพสุดท้ายของพระองค์เพราะหลังจากนั้นจะทรงยิ้มยาก โปรดดูพระบรมฉายาลักษณ์ไม่กี่วันให้หลัง จะเห็นบุคลิกของพระองค์ที่ทรงเปลี่ยนไปอย่างถาวร จนฝรั่งเอาไปตั้งชื่อหนังสือว่า “ The King Never Smile”
ตอนเช้าดึงภาพที่โหลดไว้มาดูอีกที พอสังเกตเห็นว่าพระยศของพระองค์มีดาวประดับบนพระอินทนูเพียงข้างละ ๒ ดวง เรื่องราวก็เรียงร้อยเข้ามาสู่ความทรงจำทันที
พระบรมฉายาลักษณ์นี้ จะต้องทรงฉายในวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ซึ่งช่วงค่ำนั้นกองทัพบกจะจัดงานฉลองพระอิสริยยศสมเด็จพระราชอนุชา เนื่องในวโรกาสที่ได้รับพระราชทานยศร้อยโททหารบกมหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ ร.พัน ๑ ทว่าสองสามวันมาแล้วที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงไม่ค่อยสบายพระวรกาย มีพระอาการประชวรพระนาภี (ปวดท้องจากอาหารผิดสำแดง) อยู่เป็นระยะๆ ก่อนหน้าวันงาน ๑ วัน จึงรับสั่งให้พลโท พระศิลปศัตราคม สมุหราชองครักษ์ไปแจ้งผู้จัดงานว่าอย่าให้ดึกนัก แต่สุดท้ายก็ตัดสินพระทัยที่จะไม่เสด็จไปร่วมงานตามกำหนดการ สมเด็จพระราชอนุชาแม้จะเสด็จโดยลำพัง แต่ก็สำราญพระทัยดีดังที่เห็นในภาพ ไม่ทรงสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องใหญ่เรื่องโตกำลังจะเกิดขึ้น คืนนั้นกว่าจะเสด็จกลับก็ร่วม ๒๓ น.
เช้าวันรุ่งขึ้นคือวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ถือเป็นวันมหาวิปโยคในรัชกาลที่ ๘พระราชอนุชาเสด็จมาเสวยพระกระยาหารเช้าเพียงพระองค์เดียวเมื่อเวลา ๘.๓๐ น. จากนั้น ได้เสด็จไปยังส่วนที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงประตูห้องแต่งพระองค์อันเป็นทวารสู่ห้องบรรทมในเวลา ๙.๐๕ พบนายชิตและนายบุศย์ มหาดเล็กหน้าห้องนั่งเฝ้าเวรอยู่ จึงรับสั่งถามถึงพระอาการในหลวง นายบุศย์ทูลว่าสบายขึ้นแล้ว เข้าห้องสรงแล้ว แต่เข้าบรรทมอีกโดยไม่เสวยน้ำส้มตามปกติ พระราชอนุชาจึงเสด็จกลับทางระเบียงหลังไปยังห้องที่ประทับของพระองค์ซึ่งอยู่คนละสุดปลายของพระที่นั่งบรมพิมาน ห่างจากห้องพระเจ้าอยู่หัวถึงสี่สิบเมตร เป็นห้องชุดที่อยู่ติดต่อกับห้องบรรทมของพระราชชนนี จึงเสด็จเลยไปเฝ้าตามปกติวิสัยที่ทรงเคยปฏิบัติเสมอมา สักพักก็เสด็จกลับออกมาที่ห้องของพระองค์แล้วเลยไปยังห้องเครื่องเล่น (ประเภทเครื่องเสียงและเครื่องฉายหนัง เพราะสมัยนั้นไม่มีทีวี) ที่อยู่ติดกัน
ขอให้ตามเข้าไปดูภาพด้วยนะครับ ผมทำแผนผังและคำบรรยายจากเอกสารอ้างอิงไว้ด้วยให้อ่านง่าย เข้าใจง่าย
เวลา ๙.๓๐ น. เสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด พระราชอนุชาซึ่งประทับอยู่ในห้องเครื่องเล่นไม่ทรงได้ยินเสียงปืน พระราชชนนีก็เช่นกัน จนกระทั่งนายชิตก็วิ่งไปทูลว่าในหลวงยิงพระองค์ จึงทรงร้องกรี๊ด อุทานว่านันท์จ๋าแล้วออกวิ่งไปยังห้องบรรทมของพระเจ้าอยู่หัว นางสาวจรูญข้าหลวงได้ยินเสียงปืน จึงออกจากห้องของตนมาดูเหตุการณ์ เห็นพระราชชนนีทรงวิ่งก็ขยับจะวิ่งตามไปบ้าง พอดีจังหวะที่พระราชอนุชาเห็นคนวิ่งแว่บๆอยู่ภายนอกประตูและได้ยินเสียงพระราชชนนีทรงกันแสงไปวิ่งไป จึงเสด็จออกมาจากห้องเครื่องเล่น พบนางสาวจรูญๆทูลให้ทรงทราบตามที่นายชิตพูด จึงรีบเสด็จตามไปยังห้องบรรทมของพระเจ้าอยู่หัว
เอาเท่านี้ก่อน
จะเห็นว่าในเวลาเช้าระหว่าง ๘.๓๐ ถึง ๙.๓๐ วันนั้น พระราชอนุชามีบทบาทอยู่เพียงเท่านี้ และทุกนาทีมีประจักษ์พยานหมดว่าทรงอยู่ที่ไหน ทำอะไร ซึ่งนอกจากพระราชชนนีแล้ว ยังมีผู้อื่นดังนี้คือ
๑ นายฉลาด เทียมงามสัจ มหาดเล็กประจำห้องเสวยมุขหน้าของพระที่นั่ง ขณะที่เสวยพระกระยาหารเช้า
๒ นายบุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กหน้าห้องพระบรรทมของพระเจ้าอยู่หัว
๓ นายชิต สิงหเสนี มหาดเล็กรับใช้ที่มานั่งอยู่หน้าห้องพระบรรทมร่วมกับนายบุศย์
๔ นายเวศน์ สุนทรรัตน์ มหาดเล็กห้องบรรทมพระราชอนุชา
๕ นางสาวเนื่อง จิตตดุลย์ พระพี่เลี้ยงผู้ออกมาจากห้องพระราชชนนีมาเก็บของในห้องบรรทมของพระราชอนุชาอยู่ ระหว่างที่ทรงอยู่ในห้องเครื่องเล่น ขณะเสียงปืนดังขึ้น
๖ นางสาวจรูญ ตาละภัฏ อยู่ในห้องข้าหลวงซึ่งอยู่หน้าห้องเครื่องเล่น เป็นคนแรกผู้ทูลพระราชอนุชาตามคำที่นายชิตทูลพระราชชนนี
๗ นายมณี บูรณสุต มหาดเล็กในห้องพักเครื่อง(อาหาร)ชั้นล่าง หลังจากเสียงปืนดังขึ้นแล้ว ก็รีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่อดูว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น
๘ นายมังกร ภมรบุตร มหาดเล็กในห้องพักเครื่องชั้นล่าง ผู้วิ่งขึ้นมาชั้นบนกับนายมณี และได้เข้าไปดูว่าอะไรเกิดขึ้นถึงในห้องบรรทม
ในห้องบรรทมของพระเจ้าอยู่หัว พระราชอนุชาทรงเห็นพระราชชนนีคร่ำครวญไม่มีพระสติอยู่ก็รับสั่งให้นายชิตรีบไปตามหมอนิตย์ แพทย์ประจำพระองค์ นายชิตวิ่งลงไปพบจมื่นทิพย์เสนา ปลัดกรมพระตำรวจ จึงแจ้งให้จมื่นทิพย์เสนาช่วยจัดการ จมื่นทิพย์เสนาจึงสั่งจ่าแผลงฤทธิรอนหัวหน้าเวรตำรวจวังประจำพระที่นั่ง ให้ตำรวจวังให้เอาจักรยานยนต์ไปตามหมอนิตย์ แล้วจ่าแผลงฤทธิรอนได้โทรไปรายงานพระยาเทวาธิราช หัวหน้ากองวังและพระราชพิธี แล้วจัดรถยนต์ให้รีบไปรับ พระยาเทวาธิราชได้ให้บุตรชายนั่งรถมาด้วย เมื่อผ่านทำเนียบท่าช้างก็ให้รีบลงไปแจ้งนายปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรีทราบ นายปรีดีได้ฟังก็มีท่าทางตกใจ ร้องว่า ห๊ะ อะไรกัน ขณะนั้นรัฐมนตรีมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจกำลังมารอเพื่อจะประชุมในเรื่องเร่งด่วนที่กรรมกรรถไฟสไตรค์ นายปรีดีจึงสั่งให้รถไปรับ ม.จ. นิกรเทวัญ เทวกุล ราชเลขาธิการมาเพื่อจะเข้าวังด้วยกัน
ส่วนพระยาเทวาธิราชไปถึงพระที่นั่งบรมพิมานแล้วก็ย้อนกลับมารายงานนายปรีดีด้วยตนเอง เวลา ๑๐ นาฬิกาเศษ เมื่อม.จ. นิกรเทวัญ มาถึงแล้วทุกคนจึงออกเดินทางมาถึงพระที่นั่งบรมพิมานในเวลาประมาณ ๑๑ นาฬิกา (ความจริงจากท่าช้างวังหน้ามาพระบรมมหาราชวังด้วยรถยนต์ ถนนโล่งๆสมัยนั้นไม่น่าจะเกิน ๕ นาที) ส่วนหมอนิตย์ซึ่งมาแล้วตั้งแต่ก่อน ๑๐ นาฬิกา และกำลังชำระพระบรมศพอยู่ ทุกคนจึงต้องรอกระทั่งพร้อม กว่าจะขึ้นไปถวายบังคมพระบรมศพได้ก็เกือบเที่ยง ระหว่างนั้นก็เรียกผู้ที่ใกล้ชิดเหตุการณ์มาให้พระรามอินทรา อธิบดีตำรวจเป็นผู้ซักถามไปพลางๆ เวลานั้นพระราชชนนียังทรงกรรแสงอยู่ในห้องทรงพระสำราญติดกับห้องบรรทมพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพระราชอนุขาทรงดูแลอยู่
ความย่อหน้าข้างบนนี้ผมเรียบเรียงขึ้นเพื่อให้กระชับสั้นจากหนังสือ “กรณีสวรรคต” โดยนพ.สรรใจ แสงวิเชียร เล่มหนึ่ง “คำเห็นแย้งคำพิพากษากรณีสวรรคต โดย นเรศ นโรปกรณ์” เล่มหนึ่ง และ “ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล อีกเล่มหนึ่ง ซึ่งทุกเล่มอ้างอิงเอกสารชั้นต้นอีกที
การศึกษาหาความจริงในกรณีสวรรคตนั้น จะต้องอ่านหนังสือของทุกฝ่าย จะอ่านแต่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะต้องอ่านเอกสารชั้นต้น ตั้งแต่ บันทึกการสอบสวน คำฟ้อง คำแถลงการณ์ของอัยการผู้เป็นโจทก์ คำแถลงการณ์ปิดคดีของจำเลย คำแถลงติงของอัยการโจทก์รวมทั้งคำพิพากษาทั้ง ๓ ศาล รวมทั้งต้องอ่านหนังสือยุคหลังของผู้ศึกษาโดยใช้หลักวิชานิติวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน และหนังสือเชิงวิเคราะห์หลักฐานเอกสารที่ออกเผยแพร่ภายหลังด้วย หนังสือเหล่านี้แต่ก่อนหาอ่านยากมาก คนส่วนใหญ่ก็จะเชื่อแต่เล่มที่ตนเองเคยอ่าน
ผมเองมีหนังสือชุดนี้อยู่ร่วมสิบเล่มตั้งแต่สมัยอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ยิ่งอ่านยิ่งสับสน แต่หูตาสว่างขึ้นอีกมากหลังจากสามารถโหลดเอกสารชั้นต้นจากอินเทอเน็ตได้ แต่หลายคนที่ไม่ยอมเรียนรู้เทคโนโลยีนี้แต่ยังทำตัวเสมือนถ้วยที่มีน้ำเต็ม ไม่ยอมแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ความรู้เก่าๆมีแค่ในถ้วยแต่ยังชอบสาธยายด้วยอคติตามความจำได้หมายมั่น ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ผลไม้พิษออกไปเรื่อยโดยไม่รู้สึกละอายต่อบาป ศิษย์ของผู้เฒ่าสมัยโน้นเติบโตขึ้นเป็นครูบาอาจารย์สมัยนี้ ก็ขยายพันธุ์ผลไม้พิษต่อๆกันไป
ผู้ที่คล้อยตามคำให้ร้ายป้ายสีที่ว่า พระราชอนุชาเป็นผู้ลงมือปลงพระชมม์พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระเชษฐา เพราะต้องการชิงราชสมบัติ ก็ขอให้เปิดดูพระบรมฉายาลักษณ์ในเพจนี้ พินิจให้ซึ้งทั้งสีหน้าและแววตา จะบรรลุสัจธรรมได้เองว่าผู้ที่กำลังมีแผนการณ์อันชั่วร้ายอยู่ในสมอง จะแสดงอารมณ์ที่บ่งบอกถึงจิตใจอันบริสุทธิ์เช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด
ส่วนคำให้ร้ายป้ายสีที่ว่า พระเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชมม์ด้วยอุบัติเหตุปืนลั่นโดยไม่ได้ตั้งพระทัยของพระราชอนุชา หรือพระราชชนนีก็ตาม แต่คนใกล้ชิดช่วยกันปกปิดไว้ ก็ขอให้พิจารณาจากลำดับเหตุการณ์ ซึ่งประมวลจากคำให้การของทั้งสองพระองค์ต่ออธิบดีกรมตำรวจและคณะ, คณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต, และคำให้การต่อศาลอาญา ซึ่งกี่ครั้งๆก็สอดคล้องต้องกันเป็นทำนองเดียวของพยานทุกปากที่กล่าวนามมาแล้ว
โปรดใช้จินตาการตามไปด้วยว่าหลังจากเสียงปืนดังขึ้น จนถึงนาทีที่นายปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรีและบุคคลอื่นไปถึงสถานที่เกิดเหตุ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมง พระราชชนนียังอยู่ในพระอาการโศกเศร้ากันแสงไม่จบไม่สิ้นและพระราชอนุชาต้องอยู่เคียงข้างพระองค์ ใครที่จะเป็นผู้เตี๊ยมทุกคนก่อนที่จะถูกผู้ใหญ่ซักถาม จะเรียกมาประชุมกันที่ไหนเวลาใด ให้พ้นหูพ้นตาพนักงานอื่นๆที่มากันเต็มพระที่นั่งแล้ว ใครหรือที่จะเป็นเจ้าความคิดให้คนนี้พูดอย่างนั้น คนโน้นพูดอย่างนี้ แบบบทละครให้ทุกคนท่องจำให้ได้ในระยะเวลาที่คับขันและจำกัด ขอให้คิดถึงความเป็นจริงเหล่านี้บ้าง
อย่ารีบเชื่อว่าคนบนพระที่นั่งบรมพิมานช่วยกันปิดบังความจริง ขนาดผู้ที่โดนศาลพิพากษาโทษถึงประหารชีวิต ร่วม ๙ ปีกว่าคดีจะถึงที่สุดก็ยังไม่ยอมเปิดปากให้ร้ายผู้ใดแม้จนนาทีสุดท้ายก่อนชีพจะดับ ไอ้ที่ว่าเผ่ามีเทปลับที่ไปอัดเสียงไว้ก่อนเข้าหลักประหารนั้น หากเป็นความจริง คนๆนี้ก็คงเปิดเผยออกมาเพื่อผลทางการเมืองตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว
ผมยอมรับว่ากรณีสวรรคตเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน เพราะถูกเหตุผลทางการเมืองเข้ามาแทรกตั้งแต่เที่ยงของวันแรก การคลี่คลายประเด็นต่างๆเพื่อค้นหาความจริงจึงไปถึงสุดทางได้ยาก แต่ผมจะพยายามไล่เรียงไปทีละเรื่อง เอาเฉพาะประเด็นที่ชัดเจนจากง่ายไปหายาก เช่นประเด็นของพระราชอนุชาดังเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้.
-------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |