รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจใช้ "กองบินสำรองพลเรือน" เป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ โดยสั่งสายการบินพาณิชย์ส่งเครื่องบินรวม 18 ลำสนับสนุนการขนส่งผู้อพยพจากอัฟกานิสถานไปยังจุดหมายปลายทางในยุโรปและอเมริกา

    รายงานเอเอฟพีและรอยเตอร์กล่าวว่า เมื่อวันอาทิตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลอยด์ ออสติน ของสหรัฐ ออกคำสั่งเรียกใช้งานกองบินสำรองจากพลเรือน (CRAF) โดยขอให้สายการบินพาณิชย์ของสหรัฐสนับสนุนปฏิบัติการขนส่งผู้ที่ได้รับการอพยพออกจากอัฟกานิสถานมายังฐานทัพของสหรัฐในกาตาร์, บาห์เรน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไปยังประเทศในยุโรปและมายังสหรัฐ

    แถลงการณ์กล่าวว่า มีเครื่องบินของพลเรือน 18 ลำที่ถูกดึงมาใช้ในปฏิบัติการนี้ ได้แก่ จากสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์, แอตลาสแอร์, เดลตาแอร์ไลน์ และออมนิแอร์ แห่งละ 3 ลำ และจากฮาวายเอียนแอร์ไลน์ 2 ลำ อีก 4 ลำที่เหลือมาจากยูไนเต็ดแอร์ไลน์

    เจ้าหน้าที่จากยูไนเต็ดแอร์ไลน์คนหนึ่งกล่าวว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ของสายการบิน 4 ลำ ซึ่งสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ราว 400 คน จะถูกนำมาใช้ในภารกิจนี้

    จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เครื่องบินเหล่านี้จะไม่บินเข้ากรุงคาบูล แต่จะใช้ขนส่งผู้ที่ถูกลำเลียงออกมาจากอัฟกานิสถานแล้ว โครงการนี้เป็นแค่ระยะที่ 1 หมายความว่าอาจมีการดึงเครื่องบินพาณิชย์มาใช้เพิ่มเติม

    ที่ผ่านมา สหรัฐเคยใช้ CRAF เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกนำมาขนส่งทหารสำหรับสงครามอ่าวเปอร์เซีย ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2533 ถึงพฤษภาคม 2534 และอีกครั้งระหว่างการเตรียมการและการรุกรานอิรัก ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2545 ถึงมิถุนายน 2546

    กองทัพสหรัฐส่งทหารเกือบ 6,000 นาย ไปปฏิบัติการอพยพชาวอเมริกันและพันธมิตรชาวอัฟกันพร้อมครอบครัว ออกจากสนามบินคาบูลในภารกิจอพยพทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดโดยมีเส้นตายวันที่ 31 สิงหาคมนี้ แต่ออสตินไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะยืดเส้นตายออกไป

    ไบเดนเคยกล่าวไว้ว่า มีชาวอเมริกันถึง 15,000 คนที่จำเป็นต้องพาออกจากอัฟกานิสถาน และรัฐบาลต้องการพาชาวอัฟกันที่เป็นพันธมิตรพร้อมกับครอบครัวรวมอย่างน้อย 50,000 คนออกจากประเทศนี้ด้วย.