15มิ.ย.61-นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เอนก เหล่าธรรมทัศน์ AnekLaothamatas หัวข้อ อุดมการณ์ของพรรครปช.ระบุว่า ขอบคุณมิตรสหายและผู้สนใจจำนวนมากที่กรุณาวิเคราะห์และเปรียบเทียบอุดมการณ์ของ รปช หรือ “พรรค”รวมพลังประชาชาติไทย กับพรรค อื่นๆ สำหรับผม สิ่งที่เป็นหัวใจของพรรคที่มีคุณภาพ คือ อุดมการณ์ ไม่ใช่เพียงแค่นโยบาย ครับ อุดมการณ์ต่างกับนโยบาย สำคัญกว่านโยบายเสียอีก
อุดมการณ์คือภาพรวม คือโลกทรรศน์ คือการมองโลก ประเทศ บ้านเมือง และ ประชาชน อย่างเป็นองค์รวม มองเห็นโอกาส เห็นพลัง เห็นภยันตราย และจุดอ่อน ของสังคม และกำหนดว่าหลักการสำคัญที่จะชี้นำนโยบายด้านต่างๆ ของพรรค คืออะไร เป็นอย่างไร
นโยบายที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชนนั้น ดีไม่เหมือนกัน นะครับ แล้วแต่เราใช้อุดมการณ์ไหน ดีแค่ไหน กว้างและไกล ลึกซึ้งแค่ไหนมามอง และมากำหนด
ในต่างประเทศนั้น เรามักแบ่งพรรคตามอุดมการณ์มาตรฐาน เช่น ซ้ายหรือขวา อนุรักษ์นิยม หรือ เสรีนิยม หรือสังคมนิยม และสวัสดิการนิยม หรือ กระทั่ง ชาตินิยม ประชานิยม เป็นต้น ถามว่า รปช เป็นซ้ายหรือขวา ตอบแบบ”ฝรั่ง” เกินไปย่อมไม่ได้ครับ เพราะเราไม่ได้ลอกอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งของฝรั่งมา
ก่อนอื่นเราไม่ใช่”ขวา” เพราะเรามีอุดมการณ์ไม่ให้ตลาดเป็นเป้าหมาย ไม่ให้กำไรหรือกำไรสูงสุดของธุรกิจคือเป้าหมาย หามิได้ เราคำนึงว่าตลาดเป็นเพียงวิธีการ เรามี เศรษฐกิจชุมชน สหกรณ์เศรษฐกิจท้องถิ่น เศรษฐกิจครัวเรือน เศรษฐกิจปากท้อง เศรษฐกิจพอเพียง ด้วย และน้ำหนักที่เราให้กับเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ “ทุนนิยม” แบบปกติ นี้ จะ สูงมาก เราจึงไม่ใช่ “ขวา”
ทว่า เราก็มิใช่”ซ้าย”ในความหมายง่ายๆ เพราะเรามุ่งรักษา ปกปักและพัฒนาของเก่า สถาบันเก่า ขนบและแบบแผนเก่า ความคิดเก่า ที่เป็นของไทย ที่ดี ด้วยความภูมิใจ แน่นอนครับสิ่งใด อะไร ที่เป็นของเก่าที่ไม่ดี เราก็ไม่เก็บเอาไว้ แต่บ้านเมืองเรามีของดี ความคิดดี สถาบันดี ไม่น้อยที่เราต้องหวงแหน ชื่นชม โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายท่านจ้องว่าเรา “โหนเจ้า” หามิได้ เรามิบังอาจ
เราเห็นแจ้ง จากการเพ่งพินิจ ว่าชาติบ้านเมืองเราจัดเป็น “ข้อยกเว้น” ของประเทศ “ตะวันออก” ทั้งหลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้น ขออนุญาตใช้ภาษาธรรมดา “เวิร์ค” ครับ นำพาสยามพ้นจากลัทธิ “อาณานิคม” ของตะวันตกได้ เป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ทำได้ “จักรพรรดิ์ กษัตริย์และอมาตย์” ของจีน อินเดีย ซึ่งใหญ่กว่าไทยมากมาย หรือ พม่า ที่ตีอยุธยาแตกมาแล้ว และ เวียดนามซึ่งกำลังทัดเทียมไทยนั้น ล้วนพ่ายแพ้ “ล้มครืน”ลงไป และ “เสีย” ประเทศให้ฝรั่งหรือญี่ปุ่นและยิ่งกว่านั้น พระมหากษัตริย์ในสมัยประชาธิปไตย ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจนำพาประเทศผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สอง โดยแทบไม่มีใครล้มตาย ผ่านสงครามเย็นกว่าสี่สิบปีมาได้ และยังผ่านสงครามอินโดจีนครั้งสุดท้ายที่กองทัพเวียดนามมาประชิดชายแดนไทยด้านเขมร รอดมาได้ ภายใต้พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีประเทศเรามีสันติภาพ ปลอดสงคราม มาถึงร่วมสองร้อยปี แล้ว
ในเจ็ดสิบปีของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 นั้น สถาบันที่ชอบธรรม ต่อเนื่อง เป็นความภูมิใจ เป็นที่ยอมรับของคนไทยมากที่สุด ก็คือ พระมหากษัตริย์ เช่นนี้แล้วเราจึงกำหนดเป็นอุดมการณ์ที่จะน้อมรับพระบรมราชวินิจฉัย และพระราชปรีชาญาณ เสมอ และ ตระหนักยิ่งในพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัว ด้วยเราเชื่อมั่นใน “ธรรมราชาธิปไตย”
ในทางตรงข้าม เรามิใช่”ขวา” ด้วยอีกเหตุผลหนึ่ง คือ เราย้ำมากใน บทบาท และ “อำนาจ” ของประชาชน เราย้ำว่าประชาชนเป็นเจ้าของบ้านเมือง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย พรรคเราเน้นให้ประชาชนและสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของพรรค กำหนดนโยบายพรรค เลือกกรรมการบริหารพรรค เลือกกรรมการวินัยและจริยธรรมที่จะมาควบคุม ตรวจสอบ ลงโทษผู้นำพรรค สส และ รัฐมนตรีของพรรค เราสรุปกันหนักแน่นว่าประชาธิปไตย และ ธรรมาภิบาลนั้น ต้องเริ่มภายในพรรค และวันนี้ขอประกาศก้องเลยว่า ถึง คสช หรือ รัฐ จะประกาศไม่ใช้ “ไพรมารีโหวต” ในการเลือกผู้สมัคร สส ของพรรค เราก็ยังจะคงเลือกผู้สมัครของเราด้วย “ไพรมารีโหวต” จะให้เสียงของสมาชิกเป็นที่สุด
ด้วยเหตุนี้เราจึงมิได้เห็นประชาชนเป็นเพียงผู้หย่อนบัตรเลือกตั้งหรือผู้รอรับนโยบายและประโยชน์จากรัฐ หรือเป็นเพียงผู้ออกมาเดินขบวน ประท้วง ขับไล่รัฐบาลที่ไม่ดีเท่านั้น แต่จักต้องเป็น “พลเมือง” ที่ร่วมกำหนดนโยบาย ร่วมปฏิบัติ ร่วมดำเนินนโยบาย ร่วมสร้างบ้านสร้างเมืองด้วยตนเองให้มากที่สุดด้วย นี่คือความคิด-อุดมการณ์ในเรื่อง ประชาธิปไตยทางตรง ของเรา เรามิได้มีแต่ประชาธิปไตยทางอ้อม เช่นนี้แล้วจะจัด รปช เป็นพรรค “ขวาๆ” ไปได้อย่างไร
อนึ่ง เรายังมิใช่ “ขวา” ในความหมายที่จะหยุดนิ่ง อยู่เฉย จะไม่อภิวัฒน์ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ปรับปรุง ตรงข้าม ครับ เราจะปฏิรูปใหญ่ เช่น จะทำให้จังหวัดมีผู้ว่าราชการที่มาจากประชาชน แต่เชื่อมโยงใกล้ชิดกับส่วนกลางและนายกรัฐมนตรี ทั้งจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้า และมีสถานะเทียบเท่ารัฐมนตรี อยู่ในวาระสี่ปี หากเราทำได้ ในอนาคต การประชุมสำคัญของประเทศในภาครัฐจะไม่มีเพียงการประชุมคณะรัฐมนตรี หากยังต้องมีการประชุมนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกเดือน บรรดาผู้ว่าราชการในระบอบ “ปฏิรูป”ของเรา จะแข่งขันกันสร้างผลงาน “เอาใจ” ประชาชนในจังหวัด มิใช่”ตามใจ” แต่รัฐมนตรี หรือ ปลัดกระทรวง อย่างที่ทำกันมานับแต่ปี 2475 อย่างนี้แล้ว ใครจะมาจัดเราไปเป็น”ขวา”ในความหมายตื้นๆ เขิน ๆได้อย่างไร
วันนี้ขออนุญาตให้อรรถาธิบายแค่นี้ก่อนนะครับ สรุป เราทันโลกครับ ทันยุค ทันสมัย ขณะเดียวกันรู้ว่าอะไรที่เป็นของเราที่ดี ที่สืบมาจากอดีต ที่เป็นตัวตนเดิมของเรา เรามีกระบวนทัศน์ และประสบการณ์ ของเราเองมากพอควร อะไรที่ดีของต่างชาติ ของตะวันตก เรารับครับ แต่อะไรที่ดีของเรา มาแต่เดิม เราภูมิใจ และเอามาใช้เช่นกันครับ ในโลกที่สลับซับซ้อน ความสมดุลย์ ความพอดี เหมาะเจาะ และเป็นตัวของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ เราจะไม่สุดขั้ว สุดโต่ง ครับ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |