ราชทัณฑ์เผย "เพนกวิน" รู้สึกตัวดี พูดคุยรู้เรื่อง เดินเอง ช่วยเหลือตนเองและเข้าห้องน้ำเองได้ ไม่มีไข้ ไม่มีหอบเหนื่อย อาการไอลดลง นอนหลับได้ปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ แพทย์ให้การรักษาตามอาการ ตร.ฝากขังสามนิ้วขนระเบิด เอแบคโพลเชื่อนักการเมืองอยู่เบื้องหลังม็อบ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาความรุนแรง ชาวดินแดงฮือแล้ว ไม่ต้องการให้ที่นี่เป็นสนามรบ
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2564 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. ชี้แจงถึงกรณีที่ในโลกโซเชียลเผยแพร่คลิปเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้ปืนยิงกระสุนยาง ใส่ประชาชนที่ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านบริเวณแยกดินแดงเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 3 นัด ว่า บช.น.อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าและหลังเกิดเหตุเป็นอย่างไร แต่ตามหลักการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน จะใช้ก็ต่อเมื่อยับยั้ง ห้ามปราม ระงับเหตุ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล
ส่วนการยิงระยะประชิดและช่วงตัวท่อนบนนั้น ต้องดูเจตนาของเจ้าหน้าที่ว่าเป็นการระงับเหตุวุ่นวายหรือเป็นการป้องกันตัวเองหรือไม่อย่างไร เช่น คนขับขี่รถจักรยานยนต์อาจขับพุ่งชนเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปโดยสมเหตุสมผล ก็ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเบื้องต้นชายคนดังกล่าวที่ปรากฏตามคลิปแต่งกายคล้ายตำรวจ อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นบุคคลใด และจะเรียกมาสอบสวนว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร ทั้งนี้ ขอประชาชนอย่าเพิ่งตัดสินใจจากคลิปเพียง 3.78 วินาที ขอให้ดูคลิปเหตุการณ์ยาวทั้งหมดก่อน
รอง ผบช.น.เผยว่า เช่นเดียวกับที่มีคลิปตำรวจควบคุมฝูงชนยืนอยู่บนสะพานลอยหน้าแฟลตดินแดง และยิงกระสุนยางใส่ประชาชนบริเวณใต้แฟลตดินแดงนั้น บช.น.ยังไม่ได้รับรายงานคลิปดังกล่าว และจะอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ยืนยันว่าหากตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่บกพร่องหรือมีความผิด ทาง บช.น.ก็มีมาตรการดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาอยู่แล้ว เหมือนที่เคยดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุสลายการชุมนุมที่สะพานวันชาติเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าตำรวจมีพฤติกรรมอาจจะเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงไม่ปฏิบัติตามหลักสากล โดยมีการใช้กำลังเข้าไปสลายการชุมนุม ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด
"ตำรวจได้ตรวจสอบคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจำนวน 18 คลิป ต้องขอใช้เวลาในการตรวจสอบว่าคลิปใดเป็นคลิปปลอม คลิปใดเป็นคลิปจริง หรือคลิปจริงที่ตัดทอนมาบางส่วน และขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ"
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า การดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณแยกดินแดงเมื่อวันที่ 20 ส.ค. พบพฤติการณ์พยายามฝ่าแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ และรื้อตู้คอนเทนเนอร์ โดยผู้ชุมนุมมีการขว้างปาลูกแก้ว ลูกหิน พลุเพลิง ระเบิดปิงปอง ไปป์บอมบ์ ใส่เจ้าหน้าที่ที่พยายามรักษาพื้นที่ ซึ่งตำรวจได้จับกุมผู้ชุมนุม 26 คน พร้อมตรวจยึดของกลางระเบิดปิงปอง ไปป์บอม และระเบิดแสวงเครื่องได้ 200 ลูก นำตัวส่งดำเนินคดีแล้ว สรุปการดำเนินคดีในช่วงเดือน ก.ค.ถึงเดือน ส.ค.เป็นเวลา 2 เดือน มีจำนวนทั้งสิ้น 807 คดี มีผู้ต้องหาที่ต้องถูกดำเนินคดี 468 คน จับกุมแล้ว 211 คน
ส่วนการชุมนุมในวันนี้มี 2 จุด คือบริเวณสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ถนนราชดำเนิน และแยกดินแดงในช่วงเย็น ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางโดยรอบตั้งแต่ช่วงบ่ายเป็นต้นไป และยืนยันว่าการชุมนุมในขณะนี้เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.โรคติดต่อ รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ยื่นคำร้องฝากขัง นายทัพชัย สิโนนยาง อายุ 22 ปี, นายชนะดล ลอยมั่นคง อายุ 24 ปี, นายสหชาติ ยงจัตุรัส อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาคดีขนอาวุธ วัตถุระเบิด และระเบิดปิงปอง เข้าร่วมชุมนุมบริเวณแยกดินแดง
ฝากขังกลัวหนีเพราะโทษสูง
ตามคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 20 ส.ค.2564 ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหลายคนมารวมตัวชุมนุมกันอยู่ที่บริเวณถนนอโศก-ดินแดงต่อเนื่องถึงถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง ตั้งแต่เวลา 16.00 น. โดยในการชุมนุมดังกล่าว กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปาระเบิดและใช้ลูกแก้วยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน รวมทั้งยิงเข้าใส่สถานที่ราชการ ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้เข้าควบคุมสถานการณ์และรักษาความสงบเรียบร้อย และจับกุมผู้ต้องหาทั้งสามได้ในพื้นที่เกิดเหตุพร้อมของกลาง ตรวจค้นภายในตัวนายทัพชัย พบของกลางระเบิดปิงปองหลากสีจำนวน 100 ลูก พร้อมหนังสติ๊ก จำนวน 1 อัน บรรจุอยู่ในกระเป๋าสะพายสีน้ำตาล และตรวจค้นภายในตัวนายชนะดล ผู้ต้องหาที่ 2 พบของกลางระเบิดปิงปองหลากสี จำนวน 29 ลูก พร้อมหนังสติ๊ก 3 อัน และระเบิดแสวงเครื่อง 1 ลูก บรรจุอยู่ในกระเป๋าสะพายสีเขียว ตรวจค้นตัวนายสหชาติ ผู้ต้องหาที่ 3 พบของกลางหนังสติ๊ก 6 อัน
จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาที่ 1-3 ว่ากระทำความผิดฐานร่วมกันจัดกิจกรรม รวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คน ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และได้แจ้งเพิ่มผู้ต้องหาที่ 1-2 กระทำผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1-3 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ 1-3 มาโดยตลอด จะครบกำหนดควบคุมตัว 48 ชั่วโมง ในวันที่ 23 ส.ค.นี้ เวลา 01.20 น. แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากจะต้องสอบพยานจำนวน 5 ปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาทั้งสามจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าว จึงขออนุญาตศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้งสามไว้ในระหว่างการสอบสวน มีกำหนด 12 วัน ไปจนถึงวันที่ 2 ก.ย.นี้
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวของผู้ต้องหาทั้งสาม เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง ประกอบกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของผู้ต้องหาทั้งสามเป็นการกระทำโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง นอกจากนี้ กรณีการมาร่วมกิจกรรมการชุมนุมทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในวงกว้างซึ่งทำให้เกิดความเสียหายหลายอย่าง และการชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวยังมีการทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ หากผู้ต้องหาทั้งสามได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เกรงว่าอาจจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1(3)
ด้านนายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ขอรายงานสถานการณ์และการควบคุมดูแลตัวผู้ต้องขังที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องดังนี้
"เพนกวิน"ไม่มีไข้
ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ถูกส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ จำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายพรหมศร วีระธรรมจารี หรือฟ้า, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายสิริชัย นาถึง และนาย Sam Samart หรือแซม สาแมท โดยแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้เข้าตรวจร่างกาย พบว่านายพริษฐ์รู้สึกตัวดี พูดคุยรู้เรื่อง เดินเองช่วยเหลือตนเองและเข้าห้องน้ำเองได้ ไม่มีไข้ ไม่มีหอบเหนื่อย อาการไอลดลง นอนหลับได้ปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ แพทย์ให้การรักษาตามอาการร่วมด้วยกับยาพ่นโรคประจำตัว
ส่วนของนายสิริชัย รู้สึกตัวดี ช่วยเหลือตัวเองได้ หายใจปกติ ไม่มีอาการหอบเหนื่อย สามารถนอนหลับพักได้ รับประทานอาหารได้น้อย ขับถ่ายปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ, นายพรหมศร รู้สึกตัวดี ช่วยเหลือตัวเองได้ หายใจปกติ ไม่มีหอบเหนื่อย ไม่มีไข้ ปวดศีรษะ ไอมีเสมหะ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ และนายแซม รู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง ช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งหมด ไม่มีหายใจหอบเหนื่อย ไม่มีไข้ ไม่ไอ รับประทานอาหารได้ ขับถ่ายปกติ สัญญาณชีพและค่าออกซิเจนอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยทั้ง 4 รายแพทย์ให้การรักษาด้วยยาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค
นายธวัชชัยกล่าวว่า ในปัจจุบันทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ พร้อมด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ตามมาตรฐานสาธารณสุข โดยกรมราชทัณฑ์ได้ให้ความสำคัญต่อการดูแลด้านสุขภาพและทำการรักษาพยาบาล เพื่อให้เกิดผลดีแก่ผู้ต้องขังทุกคนอย่างเต็มที่ ให้ได้รับความเท่าเทียม เสมอภาค และไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด โดยให้การดูแลรักษาเป็นไปตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก อยากท้าชวนนายกฯ หนีบอาจารย์เสรี วงษ์มณฑา ออกรายการโหนกระแส โดยนายเสกสกลระบุว่า คนอย่างนายสมบัติวันๆ ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนบ้าง เพราะตนเองเห็นแต่ออกมาเคลื่อนไหว สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไม่หยุด และตนเองมองว่าคนประเภทนี้ไม่เหมาะที่จะออกมาท้าดีเบตหรือออกรายการร่วมกับนายกฯ เพราะนายกฯ ไม่ได้มีเวลามาให้กับคนประเภทนี้ ต้องเอาเวลาที่มีอยู่ทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 ให้กับบ้านเมืองในขณะนี้
นายเสกสกลระบุว่า แต่หากนายสมบัติหิวแสง อยากออกทีวีมาก ตนพร้อมที่จะไปแทนนายกฯ ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีได้ โดยขอให้นายสมบัตินัดวันและเวลามา ตนพร้อมจะไป ซึ่งจะเป็นวันใดก็ได้ โดยที่ตนจะไม่ต้องหนีบใครไปด้วย เดี่ยวต่อเดี่ยวได้ทุกรายการทีวี หรือนายสมบัติจะหนีบลูกน้องคนใหม่อย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่มาสมัครเป็นลูกทีมคาร์ม็อบมาด้วยตน ยิ่งยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง
เขายังระบุว่า พร้อมที่จะไปออกทีวีร่วมกับนายสมบัติทุกรายการ ทุกช่องที่นายสมบัติอยากไป ขอให้นัดวันมาเลย ก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างนายสมบัติจะเอาอะไรมาพูดออกรายการ เพราะตัวนายสมบัติเองวันๆ ไม่เคยทำประโยชน์อะไรเลย แล้วยังอยากจะมาดีเบตกับคนอื่น ขอเตือนว่าอย่าหิวแสงออกทีวีในตอนนี้เลย เพราะอาจจะกลายเป็นการประจานตัวเองออกทีวีมากกว่า
การเมืองอยู่เบื้องหลังม็อบ
“เจอได้ทุกที่ ได้ทุกเวที เอาความจริงมาแฉกัน ผมไม่เคยกลัว ทีวีช่องไหน รายการไหน นัดมาได้เลย นายสมบัติ บ.ก.ลายจุด มีอะไรมาท้าดีเบตกับแรมโบ้ ไม่ต้องถึงมือนายกฯ และอาจารย์เสรีหรอก และอย่าลืมหนีบชวนนายณัฐวุฒิ มาด้วยก็แล้วกัน" นายเสกสกลกล่าว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนามเรื่อง ขบวนการสมประโยชน์หลังม็อบ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,132 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 16-20 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา
เมื่อถามถึงกลุ่มต่างๆ เบื้องหลังความรุนแรงบานปลายทุกวันนี้ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.9 ระบุนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียอำนาจและผลประโยชน์ รองลงมาคือร้อยละ 94.7 ระบุพรรคการเมืองบางพรรค, ร้อยละ 93.6 ระบุแกนนำม็อบบางคน, ร้อยละ 93.2 ระบุกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มรับเงินต่างชาติมาป่วน และร้อยละ 90.8 ระบุกลุ่มต่างชาติที่ต้องการเข้ายึดครองทรัพยากรชาติและผลประโยชน์ประเทศไทย
นอกจากนี้ ร้อยละ 86.8 รับรู้มีพรรคการเมืองขัดแย้งกัน ซัดกันไปมา ประชาชนหมดหวังพึ่ง, ร้อยละ 84.3 รับรู้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ผสมโรงสร้างความรุนแรงทำลายจิตใจของประชาชน และร้อยละ 81.2 รับรู้มีกลุ่มเอ็นจีโอรับทุนต่างชาติเคลื่อนไหวทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
ที่น่าเป็นห่วงคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.3 รู้และเชื่อว่ามีอยู่จริง ขบวนการเบื้องหลังปั่นม็อบรุนแรง รับเงินต่างชาติเข้ายึดครองทรัพยากรและผลประโยชน์ของประเทศและคนไทย ในขณะที่ร้อยละ 6.7 ไม่รู้ไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.1 ไม่สนับสนุนขบวนการทำลายชาติทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังม็อบรุนแรง ในขณะที่ร้อยละ 6.9 สนับสนุน
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.1 ระบุเรื่องเร่งด่วนที่สุดที่ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนต้องช่วยกันคือ ความร่วมมือกันของคนไทยและต่างชาติ ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่วุ่นวาย ไม่รุนแรง กลับคืนสู่สภาพปกติสุขโดยเร็ว ในขณะที่ร้อยละ 3.9 ไม่เห็นด้วย
ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และเข้าใจภาพมากขึ้นและชัดขึ้นถึงเบื้องหลังความรุนแรงป่วนเมืองภาพใหญ่ การปะทะของมหาอำนาจ 2 ขั้วต่อการแย่งชิงผลประโยชน์ในหลายภูมิภาคและมีผลตรงต่อประเทศเล็กๆ โดยสำแดงให้เห็นผ่านความวุ่นวายขัดแย้งกันเองภายในประเทศที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และต่อภาพได้ถึงอิทธิพลการเมืองระหว่างประเทศและการสนับสนุนเงินทุนผ่านกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มมาป่วนชาติ
ไม่เอาความรุนแรง
ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าวต่อว่า มีนักการเมือง ข้าราชการ กลุ่มทุนและกลุ่มอุดมการณ์ร่วมสมประโยชน์ในเป้าหมายย่อย ประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการป่วนเมือง สร้างความโกรธเกลียดใช้ความรุนแรงต่อกัน ก่อเกิดผลกระทบทวีคูณของความโกรธแค้นกัน (Multiplier Effect of the Public Angers) ทำลายรากฐานเสาหลักของชาติ จนอาจเกิดวัฏจักรแห่งซากปรักหักพังและความสูญเสียซ้ำซาก เกิดภาพจลาจลปะทะกันเองเกินการควบคุม จนทุกเสาหลักของชาติอ่อนแอลงอย่างน่าเป็นห่วง นำสู่การเรียกแขกร้องขอต่างชาติเข้ามาเปลี่ยนแปลงแก้ไข สุดท้ายปลาใหญ่เอาไปกินรวบ
“ประชาชนส่วนใหญ่ยังสะท้อนไม่เอาด้วยกับขบวนการดังกล่าว และไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงป่วนเมือง การปั่นกระแสสร้างภาพรุนแรงเกินเหตุจึงอ่อนไหวและน่าเป็นห่วงยิ่ง ในขณะที่การระบาดของโรคยังรุนแรง มีผู้คนติดเชื้อจำนวนมากและเสียชีวิตรายวัน การร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกันจึงเป็นทางออกที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเหลื่อมล้ำสั่งสมที่เป็นรากเหง้าในสังคมที่มีอยู่และเป็นจุดกดทับร่วมต้องถูกเร่งแก้ไขโดยเร็วที่สุดด้วยความจริงใจ เพื่อลดเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำทางสังคมชนชั้น ผ่านการพูดคุยกันทุกระดับอย่างกว้างขวางและตกผลึกเป็นที่ยอมรับของส่วนใหญ่ นำสู่การแก้ไขอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้สถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย ถูกปั่นหัวซ้ำซากต่อเนื่อง จนประเทศไทยกลายเป็นเมืองขึ้นยุควิถีใหม่ของการล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจ (New Normal of the Super Power’s Colonization) ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ทันได้ปรับตัว” ผอ.ซูเปอร์โพลกล่าว
บ่ายวันเดียวกันนี้ แกนนำกลุ่มทะลุฟ้าและมวลชน รวมตัวกันไปจัดกิจกรรมชื่อว่า "ยื่นหนังสือทะลุโลก เปิดโปงทรราชให้ต่างชาติได้รับรู้" ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ถนนราชดำเนิน มีการแสดงเชิงสัญลักษณ์แต่งชุดนักโทษยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 112 นาที ที่หน้าสำนักงานยูเอ็น พร้อมยื่น 3 ข้อเรียกร้อง
1.ร้องขอให้ทาง UN ตรวจสอบทบทวนและนำเสนอเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
2.เพื่อร้องขอให้ UN ทำหนังสือประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกคุกคามไปยังรัฐบาลไทย เพื่อให้รัฐบาลไทยทำตามหลักสากลให้มากขึ้น
3.ร้องขอให้ทาง UN ให้ความช่วยเหลือนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ถูกฝากขังและถูกปฏิบัติราวกับนักโทษทั้งที่ยังไม่ได้ถูกตัดสินว่ากระทำผิด
ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง และเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน ได้มีการตั้งด่าน และนำกำลังมาเสริมบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ พร้อมกับตั้งตู้คอนเทนเนอร์ไว้เป็นแนวป้องกันบริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ขณะที่หน้ากองทัพบกมีการนำแผงเหล็กและรั้วลวดหนามปิดถนนด้านหน้าไว้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการแชร์ภาพชาวแฟลตดินแดงได้ขึ้นป้ายไวนิลในโซเชียลระบุว่า "พวกเราชาวดินแดงไม่ต้องการให้ที่นี่เป็นสนามรบ" และ "เรามีเด็ก คนชรา ผู้ป่วย โปรดช่วยคืนความสงบให้พวกเราด้วย" ลงชื่อ คณะกรรมการแฟลต 1-17 ดินแดง 1 และกลุ่มเรารักเอ๋ อดิศร" ติดบริเวณด้านหน้าและด้านบนแฟลตดินแดง ถนนอโศก-ดินแดง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยที่มีการปะทะระหว่างตำรวจควบคุมฝูงชนกับผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ออกมาขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |