ติดโควิดทะลุ 1 ล้าน ฝ่ายค้านยื่นซักฟอก 'บิ๊กตู่' สู้ศึกรอบทิศ ลุ้นผ่านจุดพีกสุด


เพิ่มเพื่อน    

      สถานการณ์ช่วงนี้ต้องยอมรับว่า บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำลังเผชิญศึกทางการเมืองรอบด้าน

            สำหรับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อทะลุ 1 ล้านรายแล้ว และติดอันดับ 34 ของโลก การล็อกดาวน์กิจการต่างๆ ส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม 

            ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล  ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 151 ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร

            โดยผู้นำฝ่ายค้านระบุว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน 6 พรรคเห็นถึงความบกพร่องของรัฐบาลในปีที่ผ่านมา ทั้งการบริหารวัคซีน การจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และการบริหารเศรษฐกิจ จึงมีความจำเป็นต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ 6 คน ได้แก่ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข  3.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 4.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน  รมว.เกษตรและสหกรณ์ 5.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และ 6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

            ที่น่าสนใจคือ เนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ระบุพฤติการณ์และเรื่องที่จะอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ไว้อย่างรุนแรงว่า "เป็นบุคคลที่ไร้ภูมิปัญญา ไร้องค์ความรู้ ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรมจริยธรรม  และไร้ความสามารถเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้นำประเทศ ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายอย่างร้ายแรงทุกด้าน   ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ทั้งในภาวะปกติและในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองต้องประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบันกว่า 19 เดือนเศษ   พล.อ.ประยุทธ์ได้รวมศูนย์อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่กลับปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉลทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติ ครม.

            ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลวเกินขีดความสามารถในการบริการประชาชน ปล่อยให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองที่บ้าน บางรายทนไม่ไหวต้องตายกลางถนน ตายในรถ หรือตายคาบ้านตนเอง ตายยกครอบครัว  สร้างความหดหู่ใจ ถึงกับมีคำกล่าวว่าประเทศไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

                พฤติการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะค้าความตาย เหิมเกริม  คิดการใหญ่โตในการสร้างกำไรจากวัคซีนร่วมกับนายอนุทิน โดยหวังการกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาของพี่น้องประชาชน และเมื่อประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ก็ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือข่มขู่เอาผิดกับประชาชนและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ยังลุแก่อำนาจสั่งการให้ใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างรุนแรงเกินสมควรกว่าเหตุตลอดมา  จนกล่าวได้ว่าประเทศกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความคับแค้นเกลียดชัง 

            ไม่ยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ใจดำ ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน และจากความโอหังและการเสพติดในอำนาจ ทำให้  พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในสภาพของคนเป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจ ไม่อยู่ในภาวะที่จะเป็นผู้นำประเทศได้อีกต่อไป"

            ข้อกล่าวหาที่รุนแรงดังกล่าวทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับโอดครวญในที่ประชุม ครม.ว่า "ผมว่าแรงไปมั้ยในหัวข้ออภิปราย มีใครเคยมีมั้ยแบบนี้"

                แต่ความจริงแล้วญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกรัฐบาลก็มีความรุนแรงไม่แพ้กัน เพราะหมายถึงการประหารกันทางการเมือง เพียงแต่คำว่า ค้าความตาย อาจทิ่มแทงความรูสึก พล.อ.ประยุทธ์มากไปเท่านั้น

            สำหรับการอภิปรายครั้งนี้ คงไม่มีประเด็นอะไรใหม่ไปกว่าที่เป็นข่าวตามสื่อมวลชนเสนอไปแล้ว แต่หากฝ่ายค้านสามารถเรียบเรียงประเด็นต่างๆ เชื่อมโยงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพและความล้มเหลวในการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างเป็นระบบชัดเจน ก็จะทำให้ประชาชนคล้อยตามและลดความเชื่อถือของรัฐบาลลงได้อีก        

            ในขณะที่รัฐบาลเผชิญปัญหาสารพัด ฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารกลับแตกคอกันเอง ในการยื่นรายชื่อผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ไม่ปรากฏชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า  รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค พปชร. พรรคก้าวไกลจึงกล่าวหาพรรคเพื่อไทยว่ามี ดีลลับ กับรัฐบาล หาก พล.อ.ประยุทธ์ลาออก เพื่อไทยก็จะมีโอกาสร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐได้ในอนาคต ทำให้แกนนำพรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้ว่า เล่นการเมืองแบบเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น ทั้งที่รายชื่อดังกล่าวผ่านการหารือจากที่ประชุมส่วนใหญ่แล้ว

            ส่วนการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 65 วาระ 2-3  พรรคก้าวไกลก็ลงมติไปคนละทางกับพรรคเพื่อไทยอีก

            ในส่วนของพรรคเพื่อไทยที่เคยเป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับหนึ่ง มี ส.ส.มากที่สุด ก็แตกคอกันเองเช่นกัน ภายหลัง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แยกตัวออกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทย

             ล่าสุด นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ ภายหลังพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ สมาชิกส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กลับพรรคเพื่อไทย แต่ได้ตั้งพรรคใหม่ชื่อ เส้นทางใหม่ โดยเบื้องต้นมีแกนนำ อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง  แกนนำ นปช., นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด เป็นต้นร่วมขบวนด้วย

            ที่น่าสนใจคือ นายณัฐวุฒิ ไม่สามารถลงสมัคร ส.ส.ได้ เนื่องจากยังพ้นโทษจำคุกไม่ถึง 10 ปี จากกรณีเคยติดคุก 2 ปี 8 เดือน ในคดีชุมนุมปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเมื่อปี 2550 แต่ได้สร้างบทบาทของตัวเองโดยการเป็นผู้สนับสนุนช่วยปราศรัยและช่วยดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นแนวร่วม โดยเฉพาะการจัดการชุมนุมคาร์ปาร์กไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อหวังคะแนนนิยมของคนรุ่นใหม่สนับสนุนพรรคเส้นทางใหม่

            สำหรับการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ในช่วงนี้ แม้จะมีเป้าหมายต่อต้านรัฐบาลเช่นเดียวกัน แต่เป็นที่รู้กันว่าแต่ละกลุ่มก็ สร้างดาวกันคนละดวง ในช่วงแรกที่กลุ่ม 3 นิ้วนำโดย กลุ่มราษฎร ชูธงปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความสั่นสะเทือนในบริบทการเมืองไทยไม่น้อย

            ต่อมา กลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ กับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ออกมาเคลื่อนไหวชูธงไล่ พล.อ.ประยุทธ์ข้อเดียว ไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปลุกกระแสได้ระดับหนึ่ง แกนนำกลุ่ม 3 นิ้วจึงแก้เกมด้วยการดึงทิศทางเคลื่อนไหวกลับไปที่ เพดานเดิม คือปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การเคลื่อนไหวล่าสุดที่นำโดย กลุ่มทะลุฟ้า กลับรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

            ภาพที่มวลชนใช้พลุ ประทัด ระเบิดเพลิง เขวี้ยงปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน และเผารถตำรวจและป้อมจราจร เท่ากับเลยเส้นของการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ไม่ใช่แนวทางสันติวิธีอีกต่อไป

            ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย พร้อมตรวจยึดของกลางวัตถุระเบิดปิงปอง 75 ลูก โดย 1 ในผู้ต้องหารับสารภาพว่าเคยนำประทัดยักษ์ไปแจกจ่ายให้ผู้ชุมนุม เพื่อนำไปขว้างใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนกรณีการใช้อาวุธปืนยิงเยาวชนอายุ 15 ปี ยืนยันว่าคนยิงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจและก็ไม่ได้ยินจาก สน.ดินแดง

            ขณะที่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล  (ผบช.น.) พร้อมคณะ เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ  สภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อผู้ชุมนุม โดย กมธ.สรุปว่า "การชุมนุมครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะมีลักษณะจงใจก่อความรุนแรง และตำรวจมีหลักฐานที่มีน้ำหนักมาแสดงต่อ กมธ.ตำรวจ"

            จากปรากฏการณ์ดังกล่าว แม้แกนนำผู้ชุมนุมบางคนจะอ้างว่ายึดแนวทางสันติวิธี แต่ก็ไม่สามารถควบคุมมวลชนที่หลากหลายได้ จึงมีข้อสังเกตว่ามี ผู้บงการบางคน เจตนายุยงทำให้สถานการณ์ยกระดับไปสู่สงครามกลางเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเหมือนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือไม่

            แต่การเคลื่อนไหวที่รุนแรงดังกล่าว ประกอบกับเป็นช่วงการระบาดโควิดยังวิกฤติ ก็ยิ่งทำให้แนวร่วมหดหาย ประชาชนเอือมระอา กลายเป็นงานอีเวนต์เลี้ยงกระแสการเคลื่อนไหวนอกสภาเท่านั้น ไม่สามารถเขย่าโครงสร้างรัฐนาวาของ พล.อ.ประยุทธ์ให้ล้มครืนลงมาได้ ส่วนการชูธง ทะลุเพดาน กลับทำให้แกนนำทยอยเข้าไปนอนในคุกแหงนมองเพดานห้องกรง แทน

            ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศลั่นว่าไม่ท้อแท้ จะร่วมมือกันแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุด จะต้องทำทุกทางให้ประเทศไทยอยู่กับโควิดให้ได้ด้วยความสงบ โดยเชื่อว่าหากสามารถควบคุมการล็อกดาวน์ได้ดีขึ้นกว่านี้ อาจจะสามารถผ่านจุดสูงสุดของยอดการติดเชื้อได้ภายในสิ้นเดือนนี้ จากนั้นจะเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องได้ในต้นเดือนกันยายน ซึ่งจะทำให้สามารถปรับมาตรการควบคุมและผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมบางอย่างได้

                แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเผชิญศึกรอบด้าน แต่ฝ่ายค้านกลับมาแตกคอกัน ม็อบก็ช่วงชิงการนำกันเองและยังใช้วิธีการรุนแรง จึงหมดความชอบธรรมลงไปเรื่อยๆ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ยังจะประคองรัฐนาวาไปได้อีก ในขณะที่คนไทยติดโควิดทะลุ 1 ล้าน  แต่ก็ยังรอลุ้นผ่านจุดพีกสุด และการผ่อนคลายมาตรการ ซึ่งน่าจะทำให้ลดแรงกดดันของประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤติโควิดลงได้บ้าง.   

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"