เร่งตรวจกระสุนจริงยิงม็อบ


เพิ่มเพื่อน    

“ม็อบรายวัน” ทะลุฟ้าขนสีชมพูไปสาดสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนยุติชุมนุม “บิ๊กตู่” ย้ำให้จัดการตามกฎหมาย เตือนไม่อยากย้อนไปยุคเผาบ้านเผาเมือง “ภัคพงศ์” ตั้งโต๊ะแจงลั่นมีการใช้กระสุนจริง แต่ไม่ได้มาจากตำรวจ เพราะมีแค่กระสุนยางและอุปกรณ์ตามที่ ครม.อนุมัติ ทนายม็อบชี้รอพิสูจน์หัวกระสุนก็รู้ว่าใครยิง ผู้ชุมนุมวัย 20 ปียังโคม่า ราชวิถีรอประเมินอาการทางสมอง ศาลอุทธรณ์ไฟเขียว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "ไผ่ ดาวดิน" นอนคุกยาว
เมื่อวันอังคารที่ 17 สิงหาคม กลุ่มทะลุฟ้ายังคงจัดกิจกรรมในชื่อ  “ม็อบ 17 สิงหา ไล่ทรราชให้มันเป็นสีชมพู” โดยนัดหมายรวมพลกันเวลา 15.00 น.ที่แยกราชประสงค์ โดยก่อนถึงเวลาได้มีรถเครื่องเสียงและมวลชนเริ่มเข้ามาจับกลุ่มริมทางเท้าฝั่งห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์  พร้อมเล่นดนตรีขับกล่อมรอเวลา โดยแกนนำได้พยายามประกาศเชิญชวนให้คนเข้ามาร่วมกิจกรรม แต่จะไปที่ไหนยังไม่แจ้งสถานที่ 
    ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่กลุ่มทะลุฟ้าได้แจ้งว่าอาจไปทำกิจกรรม ซึ่ง พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์  โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า มีการวางแนวกำลังเพื่อดูแลการชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะใช้เจ้าหน้าที่สันติบาลเป็นกำลังหลัก ขณะที่ พล.ต.ต.เมธี รักพันธุ์ ผบก.น.6 ระบุว่า ได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน (คฝ.) ไว้ดูแลพื้นที่ 2 กองร้อย และชุดเคลื่อนที่เร็วอีกส่วนหนึ่ง       
นอกจากนี้ พบว่าในพื้นที่สำนักงาน ตร.ได้เตรียมรถฉีดน้ำแรงดันสูง (จีโน) รถน้ำ รถควบคุมผู้ต้องหาอย่างละ 1 คันสแตนด์บายด้านใน  ส่วนด้านนอกมีการนำแผ่นผ้าใบพลาสติกคลุมที่ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้ง 3 จุด และวางแผงเหล็กกั้นไว้
    และในเวลา 15.00 น.ที่แยกราชประสงค์ กลุ่มทะลุฟ้าได้เริ่มทำกิจกรรมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยการสลับกันขึ้นปราศรัยของแกนนำ โจมตีการทำงานของรัฐบาลเพื่อรอมวลชนเข้ามาสมทบ และในเวลา 16.00 น.  ม็อบทะลุฟ้าได้ตั้งขบวน โดยแจ้งมวลชนจะไปทำกิจกรรมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหน้าขบวนมีป้ายผ้าระบุ “ประยุทธ์ออกไป”  “ตำรวจต้องหยุดรับใช้เผด็จการ” พร้อมให้มวลชนร่วมถือภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่ตำรวจปฏิบัติกับผู้ชุมนุม และร่วมกันประณามการทำงานของ ตำรวจ และเมื่อมาถึงหน้าสำนักงาน ตร. แกนนำได้เรียกร้องให้ตำรวจมาอยู่ข้างประชาชนเพราะไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แต่คู่ขัดแย้งคือ พล.อ.ประยุทธ์  ก่อนที่จะนำสีชมพูปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รถจีโนจึงได้ฉีดน้ำแรงดันสูงสลายกลุ่มผู้ชุมนุมทันที สถานการณ์เริ่มตึงเครียดเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามจะเข้าประชิดเพื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันเกิดเสียงดังคล้ายระเบิดขึ้นหลายครั้ง และในเวลา 16.27 น. กลุ่มทะลุฟ้าประกาศยุติการชุมนุม ขณะที่เจ้าหน้าที่ประกาศให้หยุดการกระทำ ถ้ายังฝ่าฝืนจะจับกุม จากนั้นเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนได้เปิดประตูออกมาตั้งแนวเตรียมพร้อมเข้าจับกุมหากยังฝ่าฝืน
    และในเวลา 16.45 น. คฝ.ได้ออกมาจากแนวตั้งเข้ารักษาพื้นที่หน้าสำนักงาน ตร. ถนนพระรามที่ 1 ก่อนจะกระชับพื้นที่ทำให้ผู้ชุมนุมต้องล่าถอยไปยังแยกราชประสงค์ โดยเจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่งถนน โดยมาตั้งแนวที่หน้า รพ.ตำรวจ ทำให้มวลชนเริ่มออกจากพื้นที่ แต่ยังมีบางส่วนไม่ยอมเดินทางกลับและพยายามยั่วยุเจ้าหน้าที่ ทั้งบีบแตรรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายแนวผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมและยังคงตรึงกำลังไว้เพื่อเตรียมพร้อมในสถานการณ์ กระทั่งในเวลา 17.05 น. ตำรวจเข้าควบคุมบริเวณแยกราชประสงค์ไว้ได้ ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นไปอยู่ใต้สะพานคนข้ามหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์เพื่อหลบฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก
    พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนะเจริญ โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ได้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนแต่ไม่ฟัง มีการขว้างปาสิ่งของเข้าไปด้านใน ตร. จึงต้องบังคับใช้กฎหมาย ขณะนี้เจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้  7 คน 
    ส่วนความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ในช่วงเช้าเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์  โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ส่งถึงนายกฯ กรณีการชุมนุมทางการเมืองที่มักมีเหตุวุ่นวายหลังชุมนุมว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้นโยบายอย่างต่อเนื่องว่าให้เจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย โดยให้ยึดกฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมทั้งการสลายการชุมนุมก็ขอให้ยึดหลักสากลเป็นหลัก 
    “นายกฯ ไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ไม่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนในอดีตในช่วงที่มีการชุมนุม แล้วอาจจะมีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกมาชุมนุม”
    รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ได้ปรารภถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะหลังว่า ฝากทุกหน่วยงานไม่อยากให้เกิดความรุนแรง  อย่าทำให้ประชาชนเดือดร้อน ให้ทำหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย
กระสุนจริงแต่ ตร.ไม่ได้ยิง
    ขณะเดียวกันยังคงมีความต่อเนื่องจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค.  โดยโรงพยาบาลราชวิถีออกประกาศเรื่อง รายงานผู้บาดเจ็บจากเหตุชุมนุมบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ว่า เป็นชาย อายุประมาณ 20 ปี ไม่ทราบชื่อ-สกุล แรกรับหมดสติ ไม่หายใจ ไม่มีชีพจร  ตรวจพบบาดแผลจากกระสุนที่ลำคอด้านซ้าย ทีมแพทย์ฉุกเฉินได้ทำการใส่ท่อช่วยหายใจและปั๊มหัวใจประมาณ 6 นาที ผู้บาดเจ็บกลับมามีสัญญาณชีพ และจากการตรวจเพิ่มเติมโดยการเอกซเรย์ พบกระสุนปืนค้างอยู่บริเวณก้านสมอง 1 นัด และพบกระดูกต้นคอซี่ที่ 1 และ 2 แตก  ขณะนี้ผู้บาดเจ็บได้เข้ารับการรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤติ (ไอซียู)  ศัลยกรรม 
    สำหรับอาการเมื่อวันที่ 17 ส.ค. เวลา 09.40 น. ผู้บาดเจ็บยังไม่รู้สึกตัว อยู่ในอาการโคม่า ใส่ท่อช่วยหายใจ สัญญาณชีพทั่วไปคงที่  อยู่ระหว่างรอการประเมินอาการบาดเจ็บทางสมองต่อเนื่อง 
    ด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล  (ผบช.น.) แถลงถึงการเข้าควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้าที่แยกดินแดงว่า มีการชุมนุมกันตั้งแต่เวลา 15.00-22.00 น. มีการควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมด 13 คน เป็นชาย 11 คน หญิง 2 คน  และเยาวชน 5 คน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นมี 3 ราย เชื่อว่าได้รับบาดเจ็บจากอาวุธ คนแรกเป็นเยาวชนอายุ 14 ปี มีบาดแผลที่ไหล่ด้านขวา รักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชวิถี รายที่ 2 อายุประมาณ 20 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ลำคอ มีเศษวัตถุฝังอยู่ รักษาตัวอยู่ที่ รพ.ราชวิถี รายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บจากโลหะที่เท้า สามารถกลับบ้านได้แล้ว
    ผบช.น.ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้รับอนุญาตตามมติ ครม. ไม่มีการใช้กระสุนจริง  และจากการรวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำพยานบุคคลในที่เกิดเหตุ คนเจ็บคนหนึ่งวิ่งมาจากโรงแรมปริ๊นซ์ตันและมาล้มที่โรงบำบัดน้ำเสีย อีกรายอยู่ที่โรงบำบัดน้ำเสีย ซึ่งโรงบำบัดน้ำเสียอยู่ห่างจาก สน.ดินแดงไม่น้อยกว่า 50 เมตร มีข้อจำกัดในการมองทัศนวิสัยและสิ่งบดบัง  ซึ่งบริเวณที่เกิดเหตุมีผู้ร่วมชุมนุมและประชาชนพักอาศัยจำนวนมาก จึงอยากขอความร่วมมือถ้ามีใครที่รู้เห็นเหตุการณ์ หรือสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้ขอให้มามอบให้พนักงานสอบสวน 
    “เอาข้อเท็จจริงเลย มีการใช้กระสุนจริง แต่มาจากใครไม่ทราบ  เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิง จากหัวนอต ลูกเหล็ก ระเบิดปิงปอง สื่อมวลชนในพื้นที่ก็เห็น ยืนยันว่าการปฏิบัติหน้าที่ ถ้ากระทบกับชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ไม่ปลอดภัยเราจะไม่ทำ ยกเว้นเริ่มทำลายทรัพย์สินหรือก่อเหตุรุนแรง” ผบช.น.กล่าว
    ด้าน พ.ต.อ.รัฐชัย ศรีวิชัย ผกก.สน.ดินแดง ผู้ควบคุมการปฏิบัติ ชี้แจงว่า ตลอดการเกิดเหตุ สน.ดินแดงได้ใช้วิธีการรักษาสถานที่ราชการ  โดยใช้เพียงกระสุนยางป้องกันพื้นที่ ไม่มีการใช้กระสุนจริงหรืออาวุธปืนจริง
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้ลงพื้นที่บริเวณ สถานีตำรวจนครบาลดินแดง เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 2 หลังมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส โดย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร จเรตำรวจ (สบ 8) ปฏิบัติราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบวิถีกระสุนว่าผู้ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนยิงมาจากทิศทางใด ซึ่งผลการตรวจของแพทย์พบว่ารอยกระสุนมาจากทางด้านหลังทะลุต้นคอ และกระสุนฝังในก้านสมอง 1 นัด นอกจากนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัวผู้ที่ถ่ายคลิปเหตุการณ์ตำรวจยิงปืนกระสุนยางจากบนสถานีตำรวจนครบาลดินแดงมาสอบปากคำ ซึ่งเป็นตำรวจ สน.ดินแดง คือ ร.ต.ท.ปิยะพงษ์ ได้รับมอบหมายจากผู้กำกับการ  สน.ให้รักษาพื้นที่สถานี และยิงกระสุนยางไป 6 นัด
    นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องนี้ว่า "การกระทำของ คฝ.เริ่มใช้ความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัย เกินสมควรแก่เหตุมากขึ้น กรณีประชาชนถูกยิงนั้น กระสุนที่ฝังในร่างกายจะบอกลักษณะของกระสุนหรือเศษกระสุนจากปืนประเภทและชนิดใดได้ และจากภาพในคลิปวิดีโอที่เกิดขึ้นที่อาคาร สน.ดินแดง ต้องสามารถระบุชื่อสกุลของเจ้าหน้าที่คนนั้นได้ ทั้งต้องออกมาชี้แจงว่าขณะนั้นได้ใช้อาวุธปืนเป็นปืนประเภท ชนิดใด จากภาพคลิปพิสูจน์ดูไม่ยาก  หากตรงกับกระสุนที่พบจากผู้ถูกยิง ก็ชัดเจนว่าตำรวจต้องตกเป็นจำเลยด้วย" 
ศาลไฟเขียว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
    วันเดียวกัน ที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีดำ  321/2564 ที่นายอนัตต์ณังธะโคตร ญาณ์ธนโชติ พร้อมพวก 12  คน ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ ในคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐในการออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร โดยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วระบุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีเจตนาเพื่อให้มีการแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ยุติลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที มิใช่มีความมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนทั่วไปหรือโจทก์ทั้ง 12 คนล่วงละเมิดประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 116 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย  อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
    ขณะเดียวกัน ศาลยังได้อ่านคำสั่งขอปล่อยชั่วคราวนายจตุภัทร์  บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน จำเลยที่ 7 คดีดำ อ.287/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน กับพวกรวม 22 คน เป็นจำเลยคดีปักหมุดสนามหลวงในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันฯ และอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, 116 ฯ ซึ่งภายหลังศาลมีคำสั่งถอนประกัน โดยเป็นการนัดอ่านทางไกลผ่านจอภาพ ก่อนสรุปว่าการที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวในคดีนี้ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ส่วนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
นอกจากนี้ ศาลอาญายังได้ยกคำร้องขอประกันตัวในชั้นฝากขังอีก  2 สำนวน ประกอบด้วยสำนวนหมายเลขดำ ฝ.857/2564 (ผู้ต้องหาไผ่กับพวกรวม 3 คน) และสำนวนหมายเลขดำ ฝ.858/2564  (ผู้ต้องหาไผ่กับพวกรวม 4 คน) โดยให้เหตุผลลักษณะเดียวกันกับคดีดำ อ.287/2564
    ขณะที่นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีการรับตัวกลุ่มผู้ต้องขังคดีการเมืองที่ศาลเพิกถอนประกันตัว 8 ราย และได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ว่า  มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อ 4 คน คือ 1.นายธนพัฒน์ ที่ได้รับการประกันตัวออกไปอยู่ศูนย์พักคอย 2.นายสิริชัย เป็นผู้ป่วยสีเขียว 3.นายพรหมศร ผู้ป่วยสีเขียว และ 4.นายพริษฐ์ เป็นผู้ป่วยสีเหลืองอ่อน ส่วนอีก 4 รายตรวจไม่พบเชื้อ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"