ยื่นซักฟอกล็อกเป้าถล่ม "บิ๊กตู่-เสี่ยหนู" จันทร์นี้ พ่วงอีก 4  ชื่อตามคาด "อนุทิน" โคม่า ฝ่ายค้านเตรียมเปิดแผลจัดซื้อ ATK โยงเจ้าของบริษัทสัมพันธ์แน่นเสี่ยซิโน-ไทยฯ "จับกัง 1" ดีใจมากมีชื่อติดโผ "รมว.ดีอีเอส" โวยผิดตรงไหนเตือนดาราอย่า call out "ศักดิ์สยาม" ท้า แน่จริงเอามาหลักฐานมาโชว์ หาเป็นตัวก่อคลัสเตอร์โควิด  
    วันจันทร์ที่ 16 ส.ค.นี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านมีนัดยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อนายชวน หลีกภัย  ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวก่อนมีการยื่นญัตติดังกล่าว 
    นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงว่า  พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อประธานรัฐสภาในวันที่ 16 ส.ค. มีรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคลจำนวน 6 คน มีประเด็นสำคัญ คือ กรณีสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน โดรนชายฝั่ง เน้นการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ต่อมาคือการบริหารจัดการโควิด นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ประเด็นการจัดซื้อจัดจ้างวัคซีน และเรื่องล่าสุด ชุดตรวจโควิดแบบ Antigen Test Kit หรือ ATK  จำนวน 8.5 ล้านชุด ที่พบว่าบริษัทที่ชนะการประมูลคือบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่สัญญาและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล โดยเจ้าของบริษัทเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.61 ของนายอนุทิน  บริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์พัฒนาที่ดิน ไม่ได้ค้าขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เมื่อเปรียบเทียบราคากับประเทศเยอรมนี  0.85 ยูโร เทียบกับค่าเงินไทยรวมภาษีและขนส่งแล้ว ราคารวมทั้งหมดไม่เกิน 40 บาท จึงตั้งข้อสงสัยว่าราคาที่ขายให้ไทยถึง 70 บาทแพงเกินจริง และนายอนุทินต้องเป็นผู้ตอบคำถาม
    มีรายงานข่าวถึงความคืบหน้าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ประชุมกันผ่านระบบซูมเพื่อยืนยันรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 09.30 น. โดยได้ประชุมพิจารณากันอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงเช้าถึงช่วงเย็น ก่อนยืนยันรายชื่อ 6 รัฐมนตรีเดิม  ได้แก่ 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข 3.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 4.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ 5.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และ 6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 
    ด้านท่าทีจากรัฐมนตรีที่มีชื่อจะถูกฝ่ายค้านซักฟอก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า  พร้อมอยู่แล้ว เพราะรัฐมนตรีที่เข้ามาทำหน้าที่ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามีอะไรที่เราทำไป มีอะไรที่เราจะชี้แจงประชาชน ซึ่งเท่าที่ดูตนคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าชี้แจงได้ทุกเรื่อง 
    เมื่อถามถึงประเด็นการ call out ของดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่อาจถูกนำมาซักฟอกในครั้งนี้ นายชัยวุฒิย้อนถามว่า ผิดกฎหมายตรงไหน ไม่ได้ทุจริตตรงไหนเลย ไม่เห็นมีอะไร ได้แค่เตือนเขาว่าอย่า call out และผิดกฎหมาย ส่วนจะมีการดำเนินคดีหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกระบวนการยุติธรรม  รัฐมนตรีไม่ได้เป็นคนดำเนินคดีดารา ตนแค่เตือนว่าอย่ามา call out ผิดกฎหมาย อย่ามาสร้างเฟกนิวส์ ก่อนย้อนถามสื่อว่าเฟกนิวส์มีจริงหรือไม่  มีแล้วเป็นความผิดตนหรือ ก็ไม่มีใครอยากให้มีชื่ออยู่แล้ว แต่ว่าหากมีก็พร้อมทำหน้าที่ในการชี้แจง และเชื่อว่าประชาชนและ ส.ส.จะเข้าใจสิ่งที่เราได้ทำมา
    นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กล่าวเช่นกันว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นความสวยงามของประชาธิปไตย ขอบคุณฝ่ายค้าน และดีใจที่มีชื่อตนในครั้งนี้ เพราะจะได้แถลงผลการทำงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา  และยังได้ร่วมสู้ศึกการอภิปรายเคียงข้างนายกรัฐมนตรี จะได้ช่วยชี้แจงเสริมนายกรัฐมนตรีในส่วนที่รับผิดชอบในโอกาสนี้ไปด้วย คิดว่าเรื่องการทำงานไม่น่าจะเป็นประเด็นหลักที่ทำให้มีชื่อถูกอภิปราย แต่น่าจะเป็นเรื่องบุคลิก ท่าทางโผงผาง เสียงดังมากกว่า เพราะหากจะยกเรื่องปิดแคมป์คนงานมาอภิปราย ก็ดำเนินการเป็นไปตามคำสั่งของ ศบค. รวมถึงการดูแลเยียวยาแรงงานก็ดำเนินการอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
    นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวประเด็นเดียวกันนี้ว่า พร้อมชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกประเด็น หรือตามที่มีกระแสข่าว 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.กรณีการประมูลรถไฟทางคู่สายอีสานและสายเหนือที่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสการเสนอประมูลต่ำกว่าราคากลางเพียงเล็กน้อยนั้น โดยเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งจากการพิจารณาเบื้องต้นพบว่า การดำเนินการเป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ซึ่งในการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ไม่ได้เข้าไปนั่งร่วมในการประกวดราคาด้วย แล้วถ้ามีหลักฐานว่ามีการนั่ง e-bidding รวมกัน ให้เอาหลักฐานมาจะยกเลิก แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เราต้องพิจารณาภายใต้ราคากลางว่า มีการศึกษาตามระเบียบกฎหมายหรือไม่ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ถูกต้อง รวมถึงหากราคาที่ประมูลชนะไม่แพง แต่อยู่ภายใต้ระเบียบราคากลางตามกฎหมายก็ต้องให้เขา ส่วนประเด็นที่ 2 กรณีปัญหาที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เรื่องดังกล่าวเป็นข้อพิพาทระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งข้อยุติในเรื่องนี้นั้นจะต้องดูว่า รัฐหรือประชาชนเป็นเจ้าของที่ดิน เนื่องจากในพื้นที่เขากระโดงพบว่าประชาชนมีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมายจากกรมที่ดิน  ประเด็นที่ 3 ปัญหาด้านจริยธรรม กรณีถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดเชื้อโควิดระลอก 3 เรื่องนี้ขอตั้งคำถามว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เกิดขึ้นได้อย่างไร 
    "ยืนยันว่าไม่ได้ไปต่างประเทศ และติดเชื้อโควิด-19 จากลูกน้องที่ไปเที่ยวสถานบันเทิง ทั้งนี้ให้นำหลักฐานมาแสดงเลยว่าเดินทางไปต่างประเทศจริง" นายศักดิ์สยามกล่าว     
    ส่วนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเรื่องระบบการเลือกตั้ง จากบัตรเลือกตั้งสองใบเป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียว ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน จากพรรคพลังประชารัฐเป็นประธาน กมธ. นั้น ล่าสุดคณะ กมธ.ได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวถึงประธานรัฐสภา เพื่อให้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาในวาระสองและวาระสามแล้ว โดยพบว่าคณะ กมธ.ได้แก้ไข 2 มาตรา ตามที่ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบในวาระที่หนึ่ง คือมาตรา 83 ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก จำนวน  500 คน โดยแบ่งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และ  ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 100 คน โดยให้ใช้บัตรเลือกตั้ง ส.ส.แบบละหนึ่งใบ และมาตรามาตรา 91 ว่าด้วยการคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมือง เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง ได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น.