เจอกับตัวเลข ผู้ติดเชื้อ เพิ่มพรวดๆพราดๆ วันละระดับหมื่น สองหมื่น ไม่คิดจะเหี่ยวปลาย หัวตก กันมั่งเลย ไม่ว่าใครก็ใครนั่นแหละ ย่อมหนีไม่พ้นต้อง เสียวๆ กันไปบ้าง ไม่มาก-ก็น้อย แถมแม้แต่คนเด่น-คนดัง ที่น่าจะมีระบบป้องกัน มีภูมิคุ้มกันกว่าปุถุชนคนธรรมดาอยู่ตามสมควร ดันมาร่วงผล็อยๆ เพราะ โควิด เป็นข่าว เป็นคราว ชนิดแทบไม่ขาดสาย ความว้าเหว่วังเวง โหวงๆ เหวงๆ ไปจนถึงหวัดเหวิด ย่อมแผ่สยายครอบคลุมสังคมไทยทั้งสังคม อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
----------------------------------------
คือไม่ว่าใครก็เถอะ...ถ้าหากลองมีธุระปะปัง ต้องออกไปนอกบ้าน แม้แต่ไปซื้อข้าว ซื้อของ ซื้อข้าวสาร อาหารแห้ง กะปิน้ำปลา ฯลฯ แต่ละรายอดสารภาพขึ้นมาไม่ได้ว่า พอๆ กับ การเดินฝ่าดงระเบิด อะไรประมาณนั้น แทบไม่มีโอกาสรู้ว่าใครต่อใครที่เดินเฉียดไป-เฉียดมา หยิบโน่น หยิบนี่ แตะโน่น แตะนี่ จะเผอิญไปรับเชื้อโควิดมาจากแหล่งไหนต่อแหล่งไหน แม้จะฉีด วัคซีน ไปแล้วเข็มแรก หรือสองเข็มก็เถอะ แถมให้เป็น วัคซีนเทพ ระดับไฟเซอร์ โมเดอร์นา เอาเลยก็ยังได้ แต่โอกาสที่จะแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ก็ยังคงเป็นไปได้อยู่นั่นเอง กลับมาบ้านเลยหนีไม่พ้นต้องอาบน้ำ อาบท่า สระเนื้อ สระตัว ต้องคว้าแอลกอฮอล์ มาเช็ดโน่น เช็ดนี่ ชนิดเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า กันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง...
-----------------------------------
เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะหนักหนา สาหัส เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว เพราะภายใต้ความเหว่ว้า วังเวง วิเวก วิเหวโหว ฯลฯ มันยังถูกสอดแทรกไว้ด้วยความอ่อนเพลีย ละเหี่ยใจ กับความเป็นไปทาง การเมือง ที่ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ออกจะหนักไปทางเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายที่คิดต่อต้าน โค่นล้มรัฐบาล ต่างก็เลอะเทะและเละเทอะ ไม่ต่างไปจากกันและกันซักเท่าไหร่ คือแม้ว่า บิ๊กตู่ ท่านคงจะอยู่ยง คงทน ไปอีกยาวนานพอสมควร แต่ท่านก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าจะ เวิร์ก ฟรอม โฮม หรือน่าจะได้ระยะเวลา กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน ได้มั่งแล้ว!!!
----------------
ส่วนบรรดาผู้คิดต่อต้าน พวกที่คิดโค่นล้ม บิ๊กตู่ กันชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ก็ยิ่งหนักหนา สาหัส ยิ่งขึ้นไปใหญ่ ไม่ว่าจะประเภทในสภา หรือนอกสภา ก็เถอะ ขณะที่นอกสภานั้น หนักไปทาง คบเด็กสร้างบ้าน แถมออกไปทางเด็กแว้น เด็กเกรียน เด็กนรก ฯลฯ อีกต่างหาก ไม่เพียงแต่หยาบๆ คายๆ ไร้กาละและเทศะ ไร้ความกตัญญูรู้คุณ ไร้หิริและโอตตัปปะ ฯลฯ อีกทั้งยังขยันในการสร้างความฉิบหาย เผาโน่น เผานี่ ชนิด ผม...ไม่คิดจะรับผิดชอบเลยพี่น้อง ส่วนในสภานั้น ดันหนักไปทาง คบหัวล้านสร้างเมือง ออกอาการลื่นเหลือล้น ทนเหลือหลาย พล็อบๆ แพล็บๆ ว็อบๆ แว็บๆ ไปตามมีตามเกิด...
------------------------------------------
อันนี้นี่แหละ...มันยิ่งทำให้ความวิเวกวังเวง เหว่ว้า โหวงเหวง วิเหวโหว ยิ่งชักจะแหว่งๆ โหว่ๆ ยิ่งเข้าไปใหญ่ คือไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ไปพึ่งใคร ไประบายกับใคร ฯลฯ มีแต่ต้องหันมาปลอบโยนตัวเอง หรือต้องหันมา ทำใจ ระดับพอๆ กับทำ อานาปานัสสติ เอาเลยถึงขั้นนั้น คือต้องหัดสูดลมหายใจเข้า-หายใจออก พร้อมกับความรับรู้ รับทราบ ในแบบ เข้าหนอ-ออกหนอ หรือ ยุบหนอ-พองหนอ ชนิดเป็นนาทีต่อนาที หรือวินาทีต่อวินาทีก็ว่าได้ ไม่งั้น...มันอาจออกไปทาง เบื่อหนอ, รำคาญหนอ, หงุดหงิดแล้วหนอ หรือ ชักจะโกรธแล้วหนอ ฯลฯ กันจนได้...
---------------------------------------
และภายใต้บรรยากาศเช่นนี้นี่เอง...ที่มันอาจทำให้คำพูด คำจา ของนักคิด นักปราชญ์ชาวเยอรมัน เจ้าของรางวัลโนเบล เมื่อยุคไม่นานมานี้เอง ผู้มีนามกรว่า ไฮน์ริช เบิล (Heinrich Theodor Boll) ที่เอ่ยเป็นวาทะเอาไว้ประมาณว่า “การปฏิวัติมีพื้นฐานมาจากความเบื่อหน่าย” มันอาจเป็นจริง เป็นจัง ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ โดยเฉพาะถ้าหากผู้ที่มีอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ยังไม่คิดจะรู้ร้อน-รู้หนาว ยังคงคิดเล็ก-คิดน้อย หรือคิดมาก แต่กลับ คิดไม่ลึก เหมือนอย่าง คึกฤทธิ์ กันซักเท่าไหร่นัก หรือพูดง่ายๆ ว่า...ยังมองไม่ออก ยังไม่อาจยกระดับตัวเองเข้าสู่ความ เข้าถึงและเข้าใจ ต่อความเป็นไปของสรรพสิ่ง ที่ย่อมต้องเป็นไปตาม กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ อันว่าด้วย... เพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้ย่อมเป็นไป นั่นแล...
-------------------------------------
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...บรรดาผู้ที่มีอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบทุกวันนี้ ท่านก็มักโตมาจากความเป็น องครักษ์ แบบชนิด หันหน้าเข้า ไม่ใช่ หันหน้าออก มาโดยตลอด คือโตมาจากความเมตตา ปรานี ความกรุณาของผู้ที่ตัวเองพึงให้การปกป้อง ไม่ใช่โตมาจากฝีมือ ความสามารถ ความกล้าหาญ ชาญชัย ความเสียสละต่อผู้ที่ตัวเองต้องพิทักษ์และปกป้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันเลยเป็นไปได้แค่นี้ เท่านี้ มิอาจตั้งความหวังอะไรต่อมิอะไรได้มากมายจนเกินไป หรืออย่างมาก...ก็พอได้ อยู่ๆ กันไป นั่นแหละเป็นหลัก แต่โอกาสที่จะพลิกหน้า-พลิกหลัง พลิกหลังตีนให้กลายเป็นหน้ามือ หรือทำให้ การเปลี่ยนแปลง ใดๆ เป็นไปในเชิงบวก เป็นไปในเชิงที่สร้างสรรค์ มันจึงออกจะลำบากอยู่พอสมควรเหมือนกัน...
--------------------------------
หรือพูดง่ายๆ ว่า...บรรดาสิ่งที่ควรถือเป็น ความรับผิดชอบ ทั้งหลาย มันเลยต้องหล่นลงมาบนหลัง บนไหล่ หรือบนบ่า ของบรรดาปวงชนชาวไทยทุกผู้ ทุกนาม นั่นแหละเป็นสำคัญ ที่หนีไม่พ้นต้องหาทางทำให้ความเคลื่อนไหว ความเป็นไป ในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี มันเป็นไปในเชิงบวก เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ ด้วยตัวของตัวเองเป็นหลัก โดยอาศัยสิ่งที่ติดตัว สิ่งที่ถูกถักทอ บูรณาการ มาพร้อมๆ กับศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และค่านิยมทางสังคม หรือสิ่งที่อาจเรียกขานแบบง่ายๆ ว่า ความเป็นไทย นั่นเอง!!! เป็นเครื่องมือในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าเล็ก-ไม่ว่าใหญ่ ไม่ว่าโควิดธรรมดาๆ หรือโควิดสายพันธุ์เดลตา และไม่ว่าอาจต้อง ป่วยตาย หรือ อดตาย เมื่อไหร่ เพียงใด ก็ตามที...
------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Sister Helen Prejean... “There are two situations that make interesting stories: when an extraordinary person is plunged into the commonplace, and when an ordinary person gets involved in extraordinary events. – มีสถานการณ์อยู่ 2 อย่าง ที่ทำให้เกิดเรื่องราวน่าสนใจ นั่นคือ...เมื่อคนพิเศษถลำลงไปในสถานการณ์ธรรมดา และเมื่อคนธรรมดาเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานการณ์พิเศษ...”
------------------------------------
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |