15 ส.ค.64 - ที่ สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้มี นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช และเป็นที่ปรึกษาชมรมแพทย์ชนบท ได้เดินทางเข้าพบกับ พ.ต.ท.เกียรติก้อง หนูจันทร์ สว.(สอบสวน)สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม ในข้อหาหมิ่นประมาทและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยทาง พ.ต.ท.เกียรติก้อง ได้เวลาสอบสวนปากคำเบื้องต้นประมาณ 10นาที ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นเบื้องต้นก่อน และวันพรุ่งนี้(16ส.ค.) ทาง นพ.อารักษ์ พร้อมทนายความส่วนตัวพร้อมเอกสารจำนวนมากเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งเพื่อเป็นการแจ้งความดำเนินคดีกับ นพ.วิฑูรย์อย่างเป็นทางการต่อไป
นพ.อารักษ์ ระบุว่า มีประเด็นสำคัญที่ต้องขออนุญาตชี้แจงต่อสาธารณะดังนี้ 1. ข้อเท็จจริงสำคัญคือ ในวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันเตรียมการและปฐมมิเทศทีมแพทย์ชนบทและโรงพยาบาลต่างกว่า 40 ทีมที่มาร่วมบุกกรุง ที่ประชุมมีความกังวลถึงความเพียงพอของชุดตรวจ ATK ที่จะใช้ในการปฏิบัติการ ดังนั้น ตนเองในฐานะแกนหลักในปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงที่มาด้วยตนเองทั้ง 3 ครั้ง และเป็นคณะกรรมการต่อรองราคาของ สปสช.ที่มีหน้าที่ต่อรองราคาเพื่อให้ได้ ATK คุณภาพสูงราคาเหมาะสมมาใช้ จึงได้โทรศัพท์ไปหา นพ.วิฑูรย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม แต่ นพ.วิฑูรย์ไม่ได้รับสาย และได้โทรกลับมา การโทรคุยในครั้งนี้ก็เพื่อทวงถามความคืบหน้าที่มีการดำเนินการจัดซื้อที่ล่าช้า และแจ้งให้ทราบถึงข้อห่วงกังวลของผู้ใช้ ATK ที่ต้องการ ATK มาตรฐานสูงในระดับองค์การอนามัยโลก WHO ที่มีอยู่ 2 บริษัท และไม่อยากให้มีการลดสเป็คเพื่อเปิดทางให้ ATK คุณภาพต่ำเข้ามาขาย นี้คือวัตถุประสงค์ของการพูดคุยทางโทรศัพท์ในฐานะวิชาชีพแพทย์ด้วยกัน แต่ นพ.วิฑูรย์ได้แอบอัดคลิปเสียงโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ และส่งต่อให้กับ TOPNEWS เพื่อเผยแพร่ในลักษณะบิดเบือนสร้างความเสียหายต่อตนเองและชมรมแพทย์ชนบท
นพ.อารักษ์ ระบุว่า 2. การนำคลิปเสียงที่เกิดจากการสนทนาเพียง 2 คน มาปล่อยให้กับสื่อเช่น TOPNEWS โดยที่อีกฝ่ายคือ นพ.อารักษ์ ไม่ได้อนุญาต เท่ากับเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายฉบับ อันได้แก่ ประกาศ คมช.ฉบับทื่21 ที่ระบุว่า หากผู้ใดดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผย ข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งผิด พรบ.คอมผิดเตอร์ และกฎหมายหมิ่นประมาทด้วย ซึ่งจะมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อไป 3. การกระทำดังกล่าวของผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ที่แอบอัดเสียงการสนทนา เป็นการกระทำที่สะท้อนความต่ำเตี้ยทางจริยธรรมและไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในฐานะผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ต่อไปใครจะติดต่อใดๆกับผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรมคนนี้ก็ขอให้ระวังตัวจะถูกอัดเสียงมาใช้ข่มขู่ แบล็คเมล์ได้
นพ.อารักษ์ ระบุว่า ข้อที่ 4. สำหรับ TOPNEWS ซึ่งได้บิดเบือนและปั่นข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง และเป็นผู้เผยแพร่คลิปเสียงดังกล่าว ย่อมต้องรับผลของการกระทำในฐานะสื่อมวลชนที่ขาดจรรยาบรรณ และจะถูกแจ้งความดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ตนเองจึงมาแจ้งความเพื่อรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตนที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด ขอขอบคุณทุกกำลังใจ และขอให้ประชาชนติดตามการจัดซื้อชุดตรวจ ATK นี้ต่อไป
นพ.อารักษ์ ระบุด้วยว่า ส่วนประเด็นตามที่มีผู้ให้ข่าวบิดเบือน เอาความเป็นเท็จลงในสื่อโซเชียล สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลสิชล กรณีการรับผู้ป่วยโควิด Home Isolation ได้ส่งผลให้บุคลากรสูญเสียขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานในช่วงสถานการณ์วิกฤตโรคโควิด-19 ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน บุคลากรของโรงพยาบาลสิชลทุกคนทำงานด้วยความเสียสละและทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพี่น้องชาวสิชลและพื้นที่ใกล้เคียงมาเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงบริการอย่างสุดกำลังความสามารถ
นพ.อารักษ์ ระบุด้วยว่า ต่อมาสืบเนื่องจากปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงครั้งที่ 1 เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งโรงพยาบาลสิชลก็เป็นหนึ่งใน 6 ทีมที่ร่วมปฏิบัติการ พบว่าในกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยโรคโควิดที่ไม่สามารถหาโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามเข้ารับการรักษาได้หลายหมื่นคน ผู้ติดเชื้อจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงการรับบริการ ไม่มีเตียงรองรับ ไม่มียาฟาวิพิราเวียร์ ทาง สปสช.และ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้คิดแนวทางการดูแลผู้ป่วยโดยการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ขึ้น
นพ.อารักษ์ ระบุด้วยว่า ต่อมาทางโรงพยาบาลสิชลได้รับการประสานจาก สปสช.ให้เข้าไปช่วยคนกรุงเทพและพื้นที่รอยต่อ สปสช. ได้ขอให้ รพ.สิชลเข้าร่วมการดูแลผู้ป่วยในระบบ HI เพื่อไม่ให้มีจำนวนผู้ป่วยตกค้างในระบบที่รอคิวเข้ารับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการ เข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์โดยเร็ว สามารถลดอัตราการเจ็บป่วยที่รุนแรง โดยทาง สปสช.จะจ่ายเงินมาที่โรงพยาบาล ตามค่างานที่ได้ดำเนินการตามเกณฑ์ของ สปสช.
ผอ.รพ.สิชล ระบุด้วยว่า ในระบบ HI ทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ได้คอยติดตามอาการผ่านช่องทางออนไลน์หลายกรณี เช่น โทรศัพท์ ไลน์ การส่งข้อความ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่าน telemedicine เป็นต้น สำหรับผู้ป่วยสีแดง ก็จะทำงานร่วมกันกับ สปสช.ในการประสานหาเตียงให้ ผู้ป่วยที่ต้องการยาหรืออุปกรณ์ตรวจวัดค่าต่างๆ ก็ได้มีระบบการจัดส่งโดยอาสาสมัครในกรุงเทพ ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงยา การดูแล และอาหารครบ 3 มื้อนาน 14 วัน ส่งผลให้อัตราป่วยหนักและอัตราเสียชีวิตลดลง
ผอ.รพ.สิชล ระบุด้วยว่า ในขณะนี้สถานการณ์ในกรุงเทพยังไม่คลี่คลาย มีจำนวนผู้ตกค้างจำนวนมาก แม้ รพ.สิชลจะไม่ได้รับผู้ป่วยใหม่ HI รายใหม่มา 1 สัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังมีการรับญาติพี่น้องของผู้ป่วยที่ติดโควิดที่เพิ่งป่วยเพิ่มในภายหลังอยู่บ้าง ทางโรงพยาบาลสิชลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โรงพยาบาลต่างๆในกรุงเทพและปริมณฑลจะช่วยกันรับผู้ป่วยในระบบ HI ไปดูแลให้มากที่สุดทั้งนี้สำหรับผู้ที่บิดเบือนข้อมูล ให้ร้ายกับทางโรงพยาบาลสิชล ทางโรงพยาบาลสิชลและจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับผู้บิดเบือนข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้บรรยากาศที่สถานีตำรวจ นั้นมี พ.ต.ประเสริฐ สายทองแท้ ผบ.ค่ายฝึกรบพิเศษสิชล และชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้เดินทางมามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจแก่ นพ.อารักษ์ เพื่อให้กำลังใจทำงานช่วยเหลือประชาชนที่ติดเชื้อโควิดต่อไปอย่างไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่เกิดขึ้น.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |