อดีตเสื้อแดงแฉสู้แล้วรวย จี้‘ปปง.’สอบบัญชี‘ณัฐวุฒิ’


เพิ่มเพื่อน    

 อดีตหมู่บ้านเสื้อแดง 4 ภาค ออกโรงต้านม็อบ 15 สิงหาคม ชี้เป็นม็อบล้มเจ้า ที่ผ่านมาถูกหลอก เจ็บปวดมวลชนถูกปล่อยทิ้ง ติดคุก และมีคดี แต่แกนนำสู้แล้วรวย เรียกร้อง ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ก้าวไกลผลิตวาทกรรม รัฐบาลให้ตำรวจ ใช้อาวุธคุมฝูงชนโดยไม่ใช่หลักสากล แต่เป็นหลักสาแก่ใจ

    เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ที่อาคารห้องประชุมอดีตที่ตั้ง “สถานีวิทยุหมู่บ้านเสื้อแดง” ชุมชนพรสวรรค์ ทต.หนองบัว อ.เมืองฯ จ.อุดรธานี ที่เคยเป็นที่ตั้งทวนสัญญาณส่งภาพและเสียงกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ในเครือข่ายหมู่บ้านเสื้อแดง นายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย, นายสมชัย แสงทอง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคเหนือ, นางนิตยา นาโล อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน, นายทวี ประหยัด อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคใต้, นายไวทิต ศิริสุวรรณ อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคกลาง และ อดีตประธานจังหวัดหมู่บ้านเสื้อแดงตัวแทนทั้ง 4 ภาค ร่วมประชุมหารือการสกัดม็อบ 17 สิงหาคม หรือ “ม็อบล้มเจ้า” ที่จะออกไปป่วนบ้านป่วนเมือง เผาบ้านเผาเมือง ท้ายที่สุดแล้วหวังที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องการให้มีการปกครองประเทศไทยแบบ “ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
    นายอานนท์เปิดเผยว่า ได้ประสานงานอดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงทั้ง 4 ภาค มาร่วมหารือ ณ สถานที่แห่งนี้ ที่เคยเป็นที่ตั้งในการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ผ่านมา ยังเคยเป็นที่ต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จากสถานทูตประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศที่เดินทางมาเยือนและหาข้อมูลกับคนเสื้อแดง นอกจากนั้นยังเคยเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงหมู่บ้านเสื้อแดง ที่ส่งสัญญาณออนไลน์ทั้งภาพและเสียงกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยในเครือข่ายของหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อให้สถานีวิทยุนั้นๆ ได้ลิงก์สัญญาณ เราต้องการให้ทุกคนมาเยือนตอกย้ำ อดีตของความเจ็บปวด อดีตของการถูกปล่อยทิ้ง และอดีตที่เราแสวงหาความช่วยเหลือจากใครๆ ไม่ได้เมื่อการต่อสู้ของพวกเราถูกสลาย ส่งผลทำให้มวลชนล้มตาย ติดคุก และหนีตายไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน เราไม่อยากให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับเพื่อนพ้องน้องพี่คนเสื้อแดงในปัจจุบันนี้ที่จะเข้าไปร่วมกับม็อบ 15 สิงหาคม หรือม็อบล้มเจ้า
    เขากล่าวว่า เพราะขบวนการล้มเจ้ามีการดำเนินการมาตลอดเวลาของการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แม้แต่ปี พ.ศ.2554 ก็มีอาจารย์จากทาง ม.ธรรมศาสตร์ ได้มาประสานขอรายชื่อมวลชนเพื่อต้องการจะล้มล้างสถาบัน ยกเลิก ม.112 ช่วงนั้นทางแกนนำเราก็ไม่ทราบว่าคืออะไร เพราะส่วนใหญ่คือประชาชนชาวรากหญ้า จึงได้ส่งรายชื่อไปเกือบ 70,000 รายชื่อ คนที่ดำเนินงานก็คือ คุณนิตยา นาโล อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงภาคอีสาน จนฝ่ายปกครองและทหารมาประกบตลอดเกือบทุกอาทิตย์ หรือแม้แต่การเดินสายเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในต่างจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค วิทยากรก็ถูกส่งตัวมาจากกรุงเทพฯ มาบรรยายให้ความรู้ประชาชนแฝงด้วยการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ปลุกปั่นทำให้ประชาชนเกลียดชังสถาบัน จนมาถึงปี พ.ศ.2555 ทางตนก็ได้ออกมาต่อต้านจนถูกลอยแพจาก นปช. เพราะไม่รับคณะวิทยากรจากส่วนกลาง
    "ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะการเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในอดีตเพื่อต้องการส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ให้กับประชาชน ตามสโลแกนในครั้งนั้นเราตั้งเอาไว้ว่า หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเรียกร้องให้ ประชาธิปไตยกินได้ ของบประมาณจากรัฐบาลมาช่วยเหลือเกษตรกร แต่ก็ไม่วายจะถูกขัดขวางจากแกนนำ นปช.ที่เข้าไปรับตำแหน่งข้าราชการการเมืองในตำแหน่งต่างๆ"
แกนนำสู้แล้วรวย
    นายอานนท์กล่าวอีกว่า การต่อสู้ที่ผ่านมาจึงทำให้พวกเราทราบว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. หรือแกนนำคนอื่นๆ ไม่ได้หวังที่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่ได้ต้องการที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง หวังเพียงว่าตนเองเป็นแกนนำต้องมีเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยง จึงทำให้แกนนำมีเงินในบัญชี มีที่ดิน มีบ้าน มีรถจำนวนมาก เพราะสู้แล้วรวย
    "หลายคนอาจจะคิดว่าไม่จริง ลองหลับตานั่งคิดดูว่าแกนนำแต่ละคนมีอาชีพอะไร ทำงานอะไร แล้วทำไมมีเงินทองออกมาเป็นระยะมากมาย แต่นั่นเป็นสิทธิ์และความสามารถของพวกคุณ จึงอยากจะให้ทางสำนักงาน ปปง. ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินแกนนำม็อบในครั้งนี้ทุกคน"
    เขากล่าวว่า พวกเราทนไม่ได้ที่พวกคุณหลอกให้มวลชนเป็นทัพหน้าเข้าไปต่อสู้จนล้มตาย ติดคุก มีคดี หนีตาย สุดท้ายไปขอความช่วยเหลือกลับถูกเมิน มิหนำซ้ำยังไล่ไปหาแกนนำคนนั้นคนนี้ว่า นี่ไม่ใช่คนของตนเอง สร้างคำพูดผลักไสไล่ส่งให้ไปรับชะตากรรม แล้วพี่น้องคนเสื้อแดงยังจะออกมาร่วมขบวนการล้มล้างสถาบันกับม็อบ 15 สิงหาคมของนายณัฐวุฒิอยู่หรือ พวกเราเจ็บแล้วต้องจำ ที่หนักไปกว่านั้นก็คือการขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็หวังเพื่อเป็นสะพานเมื่อเขาขับไล่ได้แล้วต่อไปก็จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เหมือนกับประเทศฝรั่งเศส
    "ผมเชื่อแน่ชัดว่าวันที่ 15 สิงหาคม ม็อบล้มเจ้าของคุณณัฐวุฒินี่จะออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการกับคำวลีเดิมๆ สุดท้ายก็จะตะโกนว่า เผาเลย เผาเลยผมรับผิดชอบเอง เหมือนกับตลอดทั้งเดือนสิงหาคม 2564 นี้ที่ม็อบปิดท้ายด้วยการเผาบ้านเผาเมือง แล้วก็ปล่อยให้มวลชนบาดเจ็บ ติดคุก หนีคดี เหมือนเดิม ผมกับประธานภูมิภาคทั้ง 4 ภาค เจอมาแล้ว ต้องใช้ชีวิตแบบรันทดเจ็บช้ำมาโดยตลอด พวกเราจึงออกมาส่งสัญญาณไปถึงอดีตหมู่บ้านเสื้อแดง คนเสื้อแดง และประชาชน อย่าเข้าไปร่วมกิจกรรมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในวันที่ 15 สิงหาคม 2564 กับม็อบคุณณัฐวุฒินี้อย่างเด็ดขาด นอกจากพวกเราจะเจ็บปวดแล้ว ในอนาคตยิ่งทำให้เขามีรายได้สู้แล้วรวยอีกต่อไป" นายอานนท์กล่าว
     ที่ทำการพรรคก้าวไกล ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคก้าวไกล ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า ต้องเข้าใจว่าเป็นการชุมนุมในช่วงวิกฤติโรคระบาด เชื่อว่ามีหลายคนที่เห็นด้วยมากกว่านี้ แต่ไม่สามารถแสดงตนออกมาร่วมชุมนุมได้ สำหรับคนที่ออกมาก็คือตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบ สิ่งที่อยากเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน ผู้บังคับบัญชาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือผู้บังคับบัญชาในระดับสูงขึ้นไปคือ อยากให้เข้าใจถึงความอัดอั้นของพี่น้องประชาชนด้วย
หลักสาแก่ใจ
    “ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนในครอบครัวของเขา เพื่อนร่วมงานของเขา เพื่อนสนิทของเขา ทำให้เขาต้องมาเรียกร้อง เพราะมันไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นผ่านการบริหารราชการแผ่นดินเลยในวิกฤติแบบนี้ไม่มียารักษาให้ ไม่มีเตียง ไม่มีวัคซีน กลับกันแต่ละวันมีแต่ภาพข่าวกลุ่มวีไอพีได้เข็มสามบ้าง มีจังหวัดวีไอพีที่ได้รับวัคซีนก่อนเพื่อนบ้าง ซึ่งคนที่ออกมาบางคนยังรอวัคซีนเข็มแรกอยู่เลย บางคนยังถามหาแค่เตียงสนาม ในขณะที่กลุ่มวีไอพีที่ยังไม่มีอาการอะไรก็เข้านอนรักษาในโรงพยาบาล มีภาพอุปกรณ์ครบครันตั้งอยู่ข้างๆ เพียงเพื่อความสบายใจเท่านั้น ความอัดอั้นเหล่านี้จึงทำให้เขาออกมาตัดสินใจสู้ตาย จากเดิมที่เยาวชนคนหนุ่มสาวมีข้อเรียกร้องไม่กี่ข้อที่รัฐบาลช่วยเหลือเขาได้ แต่กลับไม่ทำ จนกลายเป็นทำให้เขาต้องออกมาสู้ตายเพื่อหาทางรอด"
    เขากล่าวว่า รัฐบาลไม่มองตรงนี้ กลับใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ ซึ่งประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนอยู่แล้วว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ไม่อาจกดความรู้สึกนึกคิดประชาชนได้ แต่รัฐบาลก็ยังเลือกใช้การบังคับขู่เข็ญ อนุมัติให้ใช้อาวุธคุมฝูงชนโดยไม่ใช่หลักสากล แต่เป็นหลักสาแก่ใจ แค่ลงรถเมล์ก็ยิงใส่เขาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเขามาเพื่ออะไร ยังไม่มีการเจรจาพูดคุยก็แต่ปักหลักแล้วว่าทุกการชุมนุมไม่ให้เกิด ไม่ให้ขยับเขยื่อน เอาสิ่งของเอาอาวุธมายุติ ภาพที่ออกมาคือความพยายามสร้างความรุนแรงให้กลายเป็นความคุ้นชินต่อประชาชนทางบ้าน และบอกว่าจะยุติความวุ่นวายได้ด้วยการทำแบบนี้ ซึ่งผมคิดว่าไม่เป็นความจริง และมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าผู้นำประเทศไม่เคยมองเห็นและรับรู้ถึงความรู้สึกทุกข์ร้อนของประชาชนเลย เชื่อว่าไม่ว่าจะใช้รุนแรงแค่ไหน การชุมนุมก็ยังขับเคลื่อนและเดินต่อ เพราะการชุมนุมครั้งนี้คือการหาทางรอดจากความตาย จึงไม่มีอะไรจะไปกีดขวางปิดกั้นเขาได้
    ขณะที่ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และอดีตผู้บังคับการกองปราบฯ กล่าวว่า จากการติดตาม ตนยังยืนยันว่าการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะย่อมทำได้ เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อประกาศใช้เพื่อควบคุมภัยทางการระบาดของโควิค-19 มิใช่การมาจัดการกับผู้เรียกร้องที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาโควิค-19 บกพร่องจนมีคนตาย  แต่การจัดกำลังซึ่งควรจะเป็นไปเพื่อดูแลป้องกันเหตุ กลับเป็นการปราบปรามและการกระทำที่เกินกว่าสัดส่วนของอำนาจรัฐที่ควรกระทำในการควบคุมเหตุ
ปราบเหมือนทหาร
    ภาพที่เห็น 3-4 ครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่มีปฏิบัติการอย่างเป็นยุทธศาสตร์ คือปล่อยให้มวลชนเข้าพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ อาจเรียกว่าพื้นที่สังหารหรือกับดัก มีจุดสูงข่ม ชัยภูมิที่เป็นต่อทุกครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐมีชัยชนะทุกครั้ง เมื่อมวลชนเข้ามาในพื้นที่ตรงนี้ ม็อบเคลื่อนมาก็ทำได้เพียงตะโกนบอกว่าต้องการอะไร แม้จะปาข้าวของ อาจพยายามขยับเคลื่อนคอนเทนเนอร์ เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของกิจกรรม ก็จะเกิดการลงมือจากฝ่ายรัฐในการระดมยิง มีปะทะ เกิดความระบาดทางอารมณ์ของผู้ชุมนุมบางส่วนหรืออาจจะเป็นผู้แทรกซึม จนไปเผาทำลายข้าวของสาธารณะ ซึ่งก็น่าสนใจว่ามีคนใส่หมวกที่สื่อมวลชนจับภาพได้เข้ามาผสมโรง ซึ่งไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร? แต่วิ่งเข้าหลังกองกำลังของรัฐ ภาพยังปรากฏในสื่อออนไลน์ชัดเจน การเผาและปะทะกันอย่างรุนแรงของสองฝ่าย อย่างนี้ ก็ยิ่งเข้าทางให้ตำรวจ คฝ.แต่จริงๆ คือ กองกำลังปราบจลาจลปฏิบัติการหนักขึ้น
    "ผมมีข้อสังเกตถึงการชุมนุมที่ผ่านมาว่า คฝ.นั้นเป็นกองกำลังของรัฐ ที่มีหน้าที่ป้องกันเหตุ มีอาวุธเพียงแค่โล่กับกระบอง ควรต้องนิ่ง อดทนต่อการยั่วยุและการปะทะ ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้ คฝ.โรงพักที่ได้เกณฑ์มาจากทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศมาช่วยดูแลพี่น้องผู้ชุมนุม แต่พอรอบนี้ พอม็อบประกาศจะไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์  ชุดที่เอามาใช้กลับเป็น อคฝ. (กก.ปจ.เดิม) ในสังกัด บช.น. ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติการปราบปราม เหมือนทหาร พวกนี้ไม่เคยรู้จักประชาชน ดังนั้น เมื่อมาถึงก็ติดอาวุธเหมือนกับท้าตีท้าชกกับประชาชนเลย ไม่อดทน ไม่นิ่งเฉย แถมยังจะสนุกอย่างที่มีสื่อเก็บเสียงได้ พวกเขาชวนทะเลาะและไล่ล่า ภาพที่นั่งท้ายรถกระบะแล้วไล่ยิงประชาชนนั้นรุนแรงมาก ผมอยากถามว่า ทำไมที่ผ่านมาใช้แต่ คฝ.ของโรงพัก แต่พอจะบุกบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้อีกชุดที่มีหน้าที่คนละแบบ ชุดนี้ไม่เคยเห็นเอาไปปกป้องสถานที่ราชการหรือสถานที่สำคัญอะไรเลย กลับเอามาปกป้องบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว หมายความว่าอะไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ เพราะมีทหารเป็นกองพล ดูแลอยู่แล้ว  และการใช้ชุดนี้ปฏิบัติการ จะเป็นการผลักดันทำให้เกิดความวุ่นวาย และข้ามเส้นไปสู่การยกระดับให้เป็นสถานการณ์ร้ายแรงใช่หรือไม่" พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว
    พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ประกาศใช้อยู่ผ่านมาเป็นปีแล้วนั้น ออกมาเพื่อควบคุมการระบาดของโรค ไม่ได้ประกาศเพื่อควบคุมม็อบ แต่ทว่าก็ซ่อนเร้นไว้ ไม่ให้ม็อบออกมาด้วยข้ออ้างต่างๆ  อย่างถามว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้จะเป็นกระตุ้นให้เข้ากับมาตรา 11 ที่ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบของ ครม. มีอำนาจประกาศให้สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรงใช่หรือไม่ และก็ใช้มาตรา 12 จับบุคคลกุมบุคคลได้ไม่เกิน 7 วันใช่หรือไม่
    แต่อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่านี่ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่นี่เป็นการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพื่อเรียกร้องจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาล ดังนั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มันผิดฝาผิดตัว อ้างป้องกันการแพร่ระบาด แต่ดันมีความทับซ้อนมาที่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชน เริ่มที่การสาธารณสุข แต่เอามาใช้ครอบเป็นหลังคาใหญ่คลุมไปหมด ดังนั้น อยากให้ประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันจับตา ระวังรัฐจะยกระดับให้เข้ากับองค์ประกอบนี้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"