รอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายขา ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและท้องถนน โดยมีเป้าหมายล้มล้างสถาบันเบื้องสูงใช่หรือไม่ และผลพลอยได้คือการเข้ามาเสพอำนาจ ด้วยการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมให้ลาออกหรือยุบสภา
เปิดเกมด้วยหน่วยกล้าตายคือ "ม็อบสามนิ้ว" หรือมวลชนคนรุ่นใหม่ ภายใต้สีเสื้อแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, กลุ่มเยาวชนปลดแอก, Redem, กลุ่มทะลุฟ้า ฯลฯ เคลื่อนไหวโดยไม่มีแกนนำ แต่มีไอ้โม่งแอบหลังเด็กอยู่เบื้องหลัง คอยบัญชาการนัดหมายผ่านช่องทางออนไลน์ทุกวันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
สะท้อนชัดเจนด้วยการนัดเคลื่อนขบวนไปพระบรมมหาราชวัง ซึ่งกระทบความรู้สึกของคนไทยจำนวนมาก ก่อนเปลี่ยนแผนไปกดดันแกนนำพรรคการเมืองและรัฐมนตรีในรัฐบาล โดยมุ่งหน้าไปบ้านพักของนายกรัฐมนตรีใน ร.1 รอ. ย่านถนนวิภาวดีรังสิต
ด้วยการใช้อาวุธร้ายแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) จนบาดเจ็บสาหัส เผาป้อมตำรวจ รถตำรวจ ทุบทำลายทรัพย์สินของราชการ ขีดเขียนถ้อยคำหยาบคายใส่แผ่นป้ายจารึกชื่อบรรพบุรุษไทยที่พลีชีพในสงครามเมื่ออดีตกาลบริเวณฐานอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และยังสร้างผลกระทบให้ชาวบ้านบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงให้ต้องขวัญผวาและกลัวถูกลูกหลง ขณะที่ผู้ชุมนุมเองก็เจ็บตัว สุดท้ายจบด้วยความรุนแรงแบบป่าเถื่อน เลือดท่วมจอตลอดทั้งสัปดาห์
ผลที่ออกมาจึงฟันธงได้ว่า "ม็อบสามนิ้ว" นัดชุมนุมโดยมีเจตนาเพื่อป่วนเมือง หวังให้เกิดการจลาจล ส่งผลให้แนวร่วมถดถอย คนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ยิ่งในช่วงที่ทุกคนกำลังพร้อมใจต่อสู้กับสงครามโควิด-19
แม้กระทั่ง "ผู้นำทางความคิด" ที่หลบหนีคดี 112 อยู่ประเทศฝรั่งเศส ยังยอมรับหากต่อสู้เช่นนี้ไม่มีทางชนะ ด้วยการแสดงความเห็นว่า "ไม่ว่าเราจะประเมินอย่างไร (และมีความเป็นไปได้ ที่จะประเมินจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ตามแต่รสนิยม) การชุมนุมแบบ Redem นี้ ยากจะปฏิเสธว่า คงไม่อาจนำมาซึ่งชัยชนะได้ จะว่าไปแล้ว การชุมนุมแบบที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า (ถ้าไม่เลิกเสียก่อน) ก็ไม่อาจจะประสบความสำเร็จเช่นกัน...”
คงมีแต่เพียงผู้บงการม็อบสามนิ้ว รวมทั้งกลุ่มมวลชนเสื้อแดง และการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาลเท่านั้น ที่หลับหูหลับตาโหมเชียร์ หวังหลอกใช้เด็กไปเสี่ยงตายแทนตัวเอง เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เข้ามาสู่อำนาจทางการเมืองใช่หรือไม่ และเกิดการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ยังมีนัยสำคัญ
สะท้อนได้จากการเคลื่อนไหวที่สอดประสานอีกด้าน ภายใต้ "ระบอบทักษิณ" ที่ออกมารุกโหมหนักผ่านการเคลื่อนไหวเผด็จศึกรัฐบาล ด้วยแนวรบ 3 ขา และมองกันว่าเป็นรูปแบบคล้ายคลึงกับการเคลื่อนการชุมนุมของ นปช.ในปี 2552 และ 2553 ที่จบลงด้วยความเศร้าสลดของคนไทย
แนวรบขาแรกคือ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ และนายใหญ่พรรคเพื่อไทย ที่เปิดเว็บไต์ "www.thaksinofficial.com" ปัดฝุ่นรายการวิทยุ "นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน" ทางวิทยุเมื่อหลายสิบปีก่อน ควบคู่กับสื่อสารผ่านช่องทางสื่อสารใหม่กับกลุ่ม CARE คิดเคลื่อนไทย และ THINK คิดเพื่อไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือดิสเครดิตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งมิติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมตีตลาดคนรุ่นใหม่หวังดึงกลับมาเป็นพวก หลังเสียดุลการเมืองให้พรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลไปไม่ใช่น้อย
ควบคู่กับแนวรบขาที่สอง การต่อสู้บนท้องถนนที่คุ้นชิน ด้วยการให้ลูกน้องอย่าง "เสี่ยเต้น" นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.และเครือข่ายคนเสื้อแดง จัดกิจกรรม "คาร์ม็อบ" ในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ เพื่อขยายแนวร่วมไปในทุกจังหวัดให้มากที่สุดเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ให้สำเร็จ
ปิดด้วยแนวรบขาสุดท้าย ใช้กลไกฝ่ายนิติบัญญัติให้ "พรรคเพื่อไทย" เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เป็นต้น ที่คาดว่าจะมีการเปิดศึกซักฟอกในเดือนกันยายนนี้ เพื่อทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลทุกทาง
อย่างไรก็ตาม แนวรบทั้ง 3 ขาที่ "ระบอบทักษิณ" ฝันไว้เช่นนั้น เพื่อให้ตัวเองได้กลับมามีอำนาจ หรือเดินเข้าประตูหน้าสนามบินสุวรรณภูมิอย่างเท่ๆ ก็ต้องยอมรับในสถานการณ์จริงคงยากจนแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคนในประเทศส่วนใหญ่รู้ทันแผนการ และอีกส่วนก็ยังผวา "ผีทักษิณ" อยู่ถึงวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นวีรกรรมในอดีตที่กระทำไว้กับบ้านเมือง เช่น การขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่บริษัทเทมาเส็กจากประเทศสิงคโปร์ โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว หรือการเสนอร่างนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ช่วยให้ตัวเองไม่ต้องรับผิดในคดีทุจริตคอร์รัปชันและการเมืองต่างๆ โดยเอาชาวบ้านบังหน้า และการกระทำเรื่องไม่สมควร ด้วยการบงการให้เสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ ในบัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักษาชาติ ในการเลือกตั้งปี 2562 ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม จนกระทั่งพรรคดังกล่าวถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญไปในที่สุด
นอกจากนี้ ยังเป็นโต้โผสำคัญในการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดงในปี 2552 ที่ "ทักษิณ" เคยประกาศว่า "เมื่อเสียงปืนแตกวันใด ผมจะเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที" แต่ผลที่ตามมาก็จบด้วยการเผาบ้านเผาเมืองในปี 2553 คนเสื้อแดงติดคุก มีคดีติดตัว แต่คนในครอบครัวทักษิณหนีเอาชีวิตรอด ส่วนแกนนำต่างๆ ได้รับการตกรางวัลเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ที่เห็นชัดเจนคือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับตำแหน่งเสนาบดีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตามข้อครหาสู้แล้วรวยกระทั่งบัดนี้
ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว อย่างเช่นเกิดการโกงครั้งมโหฬารในโครงการทุจริตรับจำนำข้าว อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องหนีคดีตามพี่ชาย ปล่อยให้ลูกน้องในรัฐบาลต้องติดคุก และประชาชนต้องชดใช้หนี้แทนอยู่ในขณะนี้
ยังไม่นับรวมบทบาทพรรคเพื่อไทย ที่ในปัจจุบันคนในฟากพรรคฝ่ายค้านด้วยกันยังหวาดระแวง ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสองรอบที่ผ่านมา มีรายการมวยล้มต้มคนดู หรือข้อสอบรั่วให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถชี้แจงได้อย่างแม่นยำ ท่ามกลางข้อครหามีดีลลับทางการเมืองกับคนในรัฐบาลใช่หรือไม่
หรือกรณีล่าสุดยอมให้งบประมาณที่ตัดไว้ 1.6 หมื่นล้านบาทของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 เทไปไว้ในงบกลางเพื่อสนับสนุนการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ได้บริหารประเทศต่อไป หรือการฮั้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 เกี่ยวกับการกลับมาใช้ระบบเลือกตั้ง 2 ใบ จนถูกพรรคก้าวไกลออกมาโวย เสียแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยมาแล้ว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |