เมื่อต้องเจอฉากสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                                              (1)

ว่าไปแล้ว...ค่านิยม คตินิยม ของ ศาสนาพุทธ ในเรื่องการสิ้นสุด ยุติ ของฉากสถานการณ์ความเลวร้ายแบบสุดๆ หรือแบบ กลียุค แบบ วันสิ้นโลก วันสิ้นยุค วันพิพากษา ของศาสนาอื่นๆ อะไรทำนองนั้น ก็อาจมีความผิดแผก แตกต่างกันไปมั่งเป็นธรรมดา แม้ทุกๆ ศาสนานั่นแหละ ออกจะมั่นอก มั่นใจ ถึงกระบวนการความเป็นไปของกาลเวลา ของยุคสมัย ที่มีทั้งจุด สูงสุด และ ต่ำสุด วนกันไป-วนกันมา เป็นรอบๆ เป็นยุคๆ...

                                                                               (2)

            คือสำหรับศาสนาพุทธนั้น...ถ้าว่ากันตามบท จักกวัตติสูตร ที่ว่ากันว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้เอง ขณะแสดงธรรมต่อบรรดาภิกษุทั้งหลาย ณ นครมาตุลา แคว้นมคธ การสิ้นสุด ยุติ ของฉากสถานการณ์ความเลวร้ายสุดๆ ของโลกในอนาคตนั้น น่าจะอยู่ตรงช่วงหลังจากได้เกิดห้วงเวลาที่เรียกๆ กันว่า สัตถันตรกัป หรือกัปที่เต็มไปด้วยบรรดาผู้ถือ ศัสตราวุธ อันคมกริบอยู่ภายในมือ ตลอดระยะเวลา 7 วัน แล้วอาศัยศัสตราวุธนั้นๆ เข่นฆ่า ล้างผลาญ กันเอง จนตายโหง ตายห่า แทบไม่เหลือใครไว้ทำ น้ำอิ๊ว อีกต่อไป เหลือแต่เพียงบรรดา บุคคลบางคน ที่หลบไปอยู่ในป่าดง พงชัฏ กินเง่าไม้ ผลไม้ในป่าเป็นอาหาร ฯลฯ จนเมื่อครบ 7 วันแล้ว ก็ออกมาดีใจ เริงร่า ตั้งจิตบำเพ็ญกุศล เริ่มต้นด้วยการยึดมั่นในศีลปาณาฯ งดเว้นการฆ่าใคร-เพื่อไม่ให้ใครมาฆ่าเราอีกต่อไป...

                                                                                  (3)

            จากนั้นนั่นเอง...ที่การบำเพ็ญ กุศลกรรม ละเว้น อกุศลกรรม ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งเมื่อมวลมนุษย์แต่ละราย มีอายุโดยเฉลี่ยระดับนับเป็นหมื่นๆ ปี หรือ 8 หมื่นปีไปแล้วนั่นแหละ ถึงจะมี พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า เมตไตรย หรือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมาอีกครั้งบนโลกใบนี้ อันนี้นี่เอง...ที่อาจต่างไปจาก พระเมตไตรย ของคริสต์ อิสลาม ฮินดู ยูดาย ไปจนถึงโซโรอัสเตอร์ ฯลฯ โน่นเลย ที่ไม่ว่าจะเรียกชื่อ เรียกพระนาม ผิดแผก แตกต่างกันออกไปอยู่บ้างเล็กน้อย เช่น กลายเป็น พระเมซซิอาห์ หรือ พระมะห์ดี หรือ พระกัลกี ฯลฯ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่โดยบุคลิกลักษณะคงไม่ถึงกับแตกต่างไปจากกันและกันซักเท่าไหร่...

                                                                                     (4)

            เพียงแต่ต่างไปจากศาสนาพุทธของหมู่เฮา...ตรงที่การปรากฏตัวของผู้ที่ว่านี้ จะอุบัติขึ้นมาท่ามกลางฉากสถานการณ์ที่ยังคงเต็มไปด้วยความเลวร้ายแบบสุดๆ อุบัติขึ้นมาในฐานะผู้ซึ่งก่อให้เกิดการสิ้นสุด ยุติ ของความเลวร้ายต่างๆ นานา และการเริ่มต้นของความดี ความงาม ในแต่ละลักษณะ ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าจะเป็น พระเมซซิอาห์ พระมะห์ดี พระกัลกี หรือ พระอะหุสรามาสดา ฯลฯ ก็แล้วแต่ จึงต้อง ทรงพระเหี้ยม หรือ ทรงพระเฉียบขาด อยู่พอสมควร เช่น ต้องรบเก่ง ต้องเต็มไปด้วยปรีชาสามารถ โดยเฉพาะในการทำ ศึกสงคราม กับบรรดาผู้ชั่วร้าย ที่ยังทรงพลังอำนาจอยู่ภายในโลก ไม่ว่าผู้ที่ถูกเรียกขานในนาม ซาตาน แอนตี้ไครส์ โคคา-วิโคคา หรือ โกกและมาโกก ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็ตามที...

                                                                                        (5)

            เพราะถ้าหาก ไม่ทรงพระเหี้ยม หรือ ไม่ทรงพระเฉียบขาด แล้ว โอกาสจะเอาชนะคะคาน ผู้ที่ชั่วร้ายสุดๆระดับ ซาตาน หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ คงยากซ์ซ์ซ์ที่จะเป็นไปได้ ยิ่งโดยเฉพาะ ซาตานฉบับฮินดู ที่ถูกเรียกขานในนาม โคคาและวิโคคา ยิ่งเต็มไปด้วยพลังอำนาจอันสุดแสนจะน่าเกลียด น่ากลัว น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง ยิ่งขึ้นไปใหญ่ คือระดับ ฆ่า ยังไงก็ฆ่าไม่ตาย ตัดหัวไปแล้ว ก็สามารถกลับมาต่อกับร่างมีชีวิตขึ้นใหม่ได้ทุกเมื่อ หรือระดับ เชื้อชั่วย่อมไม่มีวันตาย อะไรทำนองนั้น พระเมซซิอาห์ พระมะห์ดี หรือ พระกัลกี ฯลฯ ท่านเลยไม่เพียงแต่เก่งกล้า สามารถในการรบ การทำศึกสงคราม มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ก้าวหน้าและทันสมัย ชนิดพระแสงดาบปรากฏอยู่ในพระโอษฐ์ ขณะทรงเสื้อคลุมที่ชุ่มไปด้วยเลือด แต่ยังทรงออกไปทาง เผด็จการ แบบทั้งแท่ง ทั้งด้าม ซะอีกด้วย!!!

                                                                                          (6)

            คือไม่งั้น...ก็อาจ ทรงพระเอาไม่อยู่ เอาง่ายๆ โดยเฉพาะภายใต้ฉากสถานการณ์ที่ ความชั่ว เพิ่มขึ้นเป็น 4 ส่วน ขณะที่ ความดี ไม่เหลือติดปลายนวมเอาไว้เลย เช่นฉากสถานการณ์ในช่วง กลียุค ของพวกฮินดูเป็นต้น ที่แทบไม่ได้ต่างไปจากฉากสถานการณ์ช่วง วันสิ้นยุค วันสิ้นโลก หรือ วันพิพากษา ของคริสต์ อิสลาม หรือยูดาย  ฯลฯ นั่นเอง และก็คงไม่ได้ต่างอะไรไปจากฉากสถานการณ์ในช่วง สัตถันตรกัป ในศาสนาพุทธของหมู่เฮานั่นแหละ ที่ใครต่อใครต่างพร้อมจะฆ่า พร้อมจะประหัตประหารกันและกันภายใน 7 วัน แบบชนิดไม่สนใจความเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครูบา อาจารย์ เป็นญาติ เป็นมิตรเอาเลยแม้แต่น้อย...

                                                                                        (7)

            แต่ทำไม พระเมตไตรย ของศาสนาพุทธ...จึงไม่ได้คิดปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงนั้น??? ปล่อยให้ผู้ที่หลบหนีไปอยู่ป่า อยู่เขา หรือผู้ที่ เหลือรอด ไปตั้งสติกันเอาเอง ไปคิดกันเอาเอง จนกระทั่งเจริญเติบโตมีอายุได้ถึง 8 หมื่นปีไปแล้วนั่นแหละ ถึงได้เสด็จลงมาโปรดมวลมนุษย์ อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็น ความแตกต่าง ที่น่าคิด น่าสนใจเอามากๆ ไม่ต่างไปจากการที่ต้องเผชิญหน้ากับฉากสถานการณ์ทุกวันนี้ ที่นับวันชักจะยิ่งเลวร้ายลงไปทุกที และดูเหมือนจะเหลือทางออก ทางไป ทางรอด หรือ ทางเลือก อยู่เพียงแค่ 2 วิธีเท่านั้นเอง คือถ้าหากไม่ เผด็จการแบบสุดๆ ก็อาจต้องหันไปตั้งหลักอยู่ในป่า ในเขา หันไปแอบซ่อนอยู่ในป่าดง พงชัฏ กันไปตามสภาพ...นั่นแล...

                                                          ------------------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"