ดินแดงละเลงเลือด ซํ้ารอย!ม็อบทะลุฟ้าปะทะเดือด‘คฝ.’ไฮโซลูกนัทเจอเต็มๆ


เพิ่มเพื่อน    

สมรภูมิดินแดงเดือดต่อเนื่อง ม็อบทะลุฟ้าไปไม่ถึงบ้านบิ๊กตู่ ไฮโซลูกนัทชูสันติวิธีไม่ถึงครึ่งทาง โดนยิงเข้าลูกตาสาหัส ขณะที่ป้าเป้าพร้อมพลพรรคป่วน 11 ส.ค.รอดคุกยกพวง แรมโบ้อีสานกางกฎหมายฟ้องดะณัฐวุฒิ ชี้หน้าอย่าเผาเมืองรอบ 2 ด้าน กก.สมานฉันท์ลุกปัดฝุ่นตัวเอง โหวกเหวกเดินหน้าปราบผู้ชุมนุมไม่ใช่ทางออกความขัดแย้ง ขณะที่ตร.ฮึ่มขีดเส้นฝ่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินจับเรียบ  
    วันที่ 13 ส.ค.64 ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.), พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.),  พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกันแถลงการณ์บังคับใช้กฎหมายและการรักษาความสงบกับกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มทะลุฟ้า ที่นัดทำกิจกรรมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 15.00 น. จากนั้นจะขึ้นไปทำกิจกรรมที่ถนนวิภาวดีรังสิต 
    พล.ต.ท.ภัคพงศ์กล่าวว่า ยืนยันว่าการปฏิบัติของ บช.น. เน้นเรื่องรักษาความสงบเรียบร้อย ถ้าพิจารณาว่ายังไม่มีเหตุรุนแรงเจ้าหน้าที่จะยังคงรักษาแนวที่ตั้งจนกระทั่งเกิดความรุนแรงขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในการปฏิบัติจะไม่ให้กระทบต่อประชาชนที่ไม่มีส่วนร่วม โดยการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย ย้ำเตือนว่าปัจจุบันมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การชุมนุมถือว่าเป็นความผิด และเมื่อมีหลักฐานชัดเจนว่าในกลุ่มผู้ชุมนุมบางคนติดเชื้อโควิด เป็นห่วงว่าผู้ร่วมชุมนุมจะได้รับผลกระทบตรงนี้ด้วย
    ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ได้สรุปการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมในช่วงที่ผ่านมาว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้ดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมแล้วทั้งสิ้น 300 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว 199 คดี คงเหลืออยู่ระหว่างการสอบสวน 105 คดี ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลยืนยันว่าจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินกับผู้ที่กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องทุกราย และฝากเรียนเตือนตามที่มีการชักชวนตามสื่อสังคมออนไลน์ โซเชียลมีเดียด้วย โดยเฉพาะในวันนี้เชิญชวนผู้ชุมนุม ชุมนุมในลักษณะคล้องแขนไปตามถนนต่างๆ จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปที่ถนนวิภาวดีฯ กรุงเทพฯ เป็นพื้นประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด การคล้องแขนกันเป็นการสัมผัสกันโดยตรง แม้ว่าจะใส่หน้ากากแล้วก็ตาม ลักษณะนั้นยังมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค การกระทำเช่นนั้นจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อด้วย
ไฮโซลูกนัทชูธงสันติวิธี  
    สำหรับบรรยากาศการจัดกิจกรรมของกลุ่มทะลุฟ้า ซึ่งนัดหมายกิจกรรมศุกร์ 13 X ไล่ล่าทรราช ที่บริเวณเกาะพญาไท อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และจะเดินคล้องแขนไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กรมทหาราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ถนนวิภาวดีฯ เพื่อเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกโดยไม่มีเงื่อนไขนั้น 
    นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือไฮโซลูกนัท กล่าวว่า เราเห็นความผิดพลาดจากการปะทะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ทางกลุ่มทะลุฟ้าเขาก็เรียนรู้วิธีที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ วันนี้จะยิ่งสำคัญมากที่จะต้องออกมายืนอยู่แถวหน้ากับน้องๆ วันนี้เรามีเหตุผลชัดเจนว่าต่อสู้แบบใช้กำลังมันไม่เป็นผลดี เราจะกลับมาใช้สันติวิธีด้วยการชู 3 นิ้ว
    "เชื่อว่าความรุนแรงจะลดน้อยลง แต่ไม่ว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้น แต่มันเทียบไม่ได้กับชีวิตที่ต้องสูญเสียจากการบริหารงานของรัฐบาล ส่วนรถตำรวจ สถานที่ราชการที่ถูกเผา มันสร้างใหม่ได้ ทุกวันนี้รัฐบาลใช้เงินซื้อของไร้สาระมากมาย รถตำรวจคันเดียวขนหน้าแข้งไม่ร่วง เมื่อเทียบกับชีวิตประชาชน สุขภาพของคนมันเรียกกลับคืนมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐบาลหยุดพูดเรื่องข้าวของเสียหาย และหันมาเมตตาประชาชน เยาวชน ยืนยันว่าจะใช้สันติวิธีต่อสู้กับกำลังเจ้าหน้าที่ และวันหนึ่งประชาชนจะชนะ" นายธนัตถ์ระบุ 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 15.05 น.  กลุ่มทะลุฟ้าทยอยเดินทางมารวมตัวบริเวณเกาะพญาไท มีรถเครื่องขยายเสียง 1 คัน และรถกระบะที่บรรทุกผลไม้  อุปกรณ์ที่ทางกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศให้มวลชนนำมาร่วมทำกิจกรรมก่อนหน้านี้
    ส่วนการรักษาความสงบเรียบร้อยที่ถนนอโศก-ดินแดงก่อนทางลงอุโมงค์ เจ้าหน้าที่ได้นำแผงเหล็กเสริมด้วยลวดหนามหีบเพลงมาปิดกั้นไว้ทั้งขาเข้าและขาออก เช่นเดียวกันกับที่ใต้ทางด่วนดินแดง ที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้ก่อเหตุเผาป้อมควบคุมสัญญาณจราจร และรถยกของตำรวจ สน.ดินแดงเสียหายเมื่อวันที่ 10 ส.ค. และ 11 ส.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้นำลวดหนามหีบเพลงมาขวางไว้ไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปใช้พื้นที่เช่นเดียวกัน
    กระทั่งเวลา 15.30 น. มวลชนเริ่มลงถนน โดยไฮโซลูกนัทได้นำป้ายข้อความขนาดใหญ่ไปปิดไว้ที่เกาะกลางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ข้อความว่า “ปาสีไม่ปาขวด ไม่อยากปะทะตำรวจแต่อยากดวลประยุทธ์” ทำให้การจราจรเริ่มติดขัด ขณะเดียวกันมีกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำมังคุด 300 กก. ลำไย 300 กก. มาวางบนกองพื้นถนน เพื่อสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำจากการบริหารของรัฐบาล โดยนำฟางแห้งมาคลุมกองผลไม้ไว้ 
สมรภูมิดินแดงเดือดต่อเนื่อง     
    จากนั้นม็อบทะลุฟ้าได้ราดน้ำมันจุดไฟเผาผลไม้ที่อ้างว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ สะท้อนการทำงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล ก่อนจะประกาศเคลื่อนขบวนไปยังบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กรมทหารราบที่ 1 ถนนวิภาวดีฯ โดยแนวหน้าของขบวนได้มีการคล้องแขนเป็นกำแพงมนุษย์ที่มีทั้งเยาวชน สุภาพสตรี 
    ขณะที่ถนนวิภาวดีฯ ก่อนถึงบ้านพัก ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการนำตู้คอนเทเนอร์มาวางขวางกั้นไว้ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ยุติการชุมนุม เพราะพื้นที่กรุงเทพฯ มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย 
    เมื่อเวลา 16.30 น. มวลชนกลุ่มทะลุฟ้าตั้งขบวนโดยคล้องแขนกันไว้ พร้อมถือป้ายผ้าที่มีข้อความว่า "ประยุทธ์ต้องออกไปทันที" ได้เริ่มเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมได้ใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าไปทางแยกสามเหลี่ยมดินแดง เพื่อจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีกลุ่มขี่มอเตอร์ไซค์บีบแตรไปตลอดเส้นทาง
    หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมมาถึงแยกดินแดง การ์ดแนวหน้าได้เข้ารื้อลวดหนามหีบเพลงและแผงเหล็กที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาปิดล้อมบริเวณใต้ทางด่วนดินแดงเพื่อเคลียร์เส้นทาง จากนั้นการ์ดแนวหน้าส่วนใหญ่ที่เป็นอาชีวะกว่า 100 คน เข้ารื้อตู้คอนเทนเนอร์โดยใช้เชือกขนาดใหญ่และลวดสลิงเพื่อชักลากตู้คอนเทนเนอร์เพื่อจะฝ่าแนวกั้นไปยังบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศแจ้งเตือนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่มวลชนไม่หยุด
     โดยเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่เริ่มยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมทะลุฟ้าที่ได้เคลื่อนขบวนมาอยู่บริเวณแยกดินแดงมุ่งหน้าไปยังถนนวิภาวดีรังสิต ขณะที่ผู้ชุมนุมก็ได้ขว้างปาสิ่งของตอบโต้ ส่วนทางแกนนำได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมกลับมาอยู่ในแนวมวลชนและจะไม่ใช้ความรุนแรง 
    นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางขึ้นมายังทางลงทางด่วนดินแดง ใช้ปืนยิงกระสุนยางเพื่อสกัดกั้นพร้อมยิงแก๊สน้ำตา ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมต้องล่าถอย เกิดเหตุการณ์ชุลมุนอย่างหนัก เสียงปืน ระเบิดปิงปองดังสนั่น เหตุการณ์เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่แกนนำพยายามเรียกมวลชนให้กลับไปยังหลังรถเครื่องขยายเสียง แต่ไม่เป็นผล มวลชนยังคงเดินหน้าปะทะกับเจ้าหน้าที่
    อย่างไรก็ตาม ในเวลา 17.25 น. หน้าเพจของกลุ่มทะลุฟ้า ได้มีการประกาศยุติการชุมนุม 13 สิงหา แต่สถานการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ความสงบ หลังจากนั้นในเวลา 17.30 น. กลุ่มทะลุฟ้าได้ประกาศยุติการชุมนุมหลังเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างหนัก และมีรายงานว่านายธนัตถ์ได้รับบาดเจ็บ โดยเพจกลุ่มทะลุฟ้าได้โพสต์ว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเข้าที่บริเวณดวงตาจนเลือดอาบ หน่วยพยาบาลกำลังปฐมพยาบาล แต่อย่างไรก็ตาม มวลชนที่ยังอารมณ์ค้างก็ยังคงปักหลักเพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ที่มีทั้งพลุ ระเบิดปิงปอง หนักสติ๊กเพื่อตอบโต้
ป้าเป้าและก๊วนรอดคุก
     วันเดียวกัน ภายหลังพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ยื่นฝากขังกลุ่มนางวรวรรณ แซ่อั้ง หรือป้าเป้า กับพวกรวม 7 คน และกลุ่ม น.ส.เมษา เถื่อนมา กับพวกรวม 4 คน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงแพร่การระบาด ฯ กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ส.ส.พรรคก้าวไกลได้ใช้ตำแหน่งยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวน ตลอดจนถึงชั้นพิจารณาคดี โดยตีราคาประกันคนละ 35,000 บาท
    ส่วนกลุ่มนายอาทิตย์ สากลวารี กับพวกรวม 2 คน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ (เผารถตำรวจ) ร่วมกันจัดกิจกรรมชุมนุม ทนายได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดขอปล่อยชั่วคราว ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราวในชั้นสอบสวนตลอดจนถึงชั้นพิจารณาคดี โดยตีราคาประกันคนละ 47,000 บาท 
    ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาฯ ทนายความของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ยื่นคำร้องปล่อยชั่วคราว (ชั้นฝากขัง) หลังจากที่พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง และ สน.บางเขน ยื่นฝากขังครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 9 ส.ค.2564 โดยศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว  โดยทนายความยังได้ยื่นคำร้องปล่อยชั่วคราวชั้นพิจารณาคดีการชุมนุมคณะราษฎรฯ ปักหมุดสนามหลวง ปี 2563 โดยการยื่นคำร้องปล่อยชั่วคราวใหม่ของนายจตุภัทร์ ซึ่งศาลอาญาพิจารณาแล้ว กำหนดนัดไต่สวนคำร้องปล่อยชั่วคราวด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในวันจันทร์ที่ 16 ส.ค.นี้ เวลา 10.00 น.
    ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงถึงกิจกรรม Car Park ในวันที่ 15 ส.ค.ว่า กำหนดจุดนัดหมาย 3 จุด เคลื่อนขบวนพร้อมกันในเวลา 15.00 น. ตามเส้นทางที่เรากำหนดไว้แล้ว 18.00 น. ทั้งขบวนจะจอดรถและกดแตรยาวตามความยาวของเพลงชาติไทย ถือเป็นการส่งสัญญาณเปล่งเสียงขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์พ้นตำแหน่งนายกฯ พร้อมกันทั้งประเทศก็ยุติกิจกรรม แยกย้ายเดินทางกลับ ยืนยันไม่มีการเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยง เปราะบาง หรือเฝ้าระวัง ไม่มีการปักหลักชุมนุม 
    นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เราไม่มีทางมีอาวุธยุทโธปกรณ์เทียบเคียงฝ่ายรัฐได้ เพราะด้านแข็งแรงที่สุดของฝ่ายรัฐคือกองกำลังและอาวุธ การเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชน (คฝ.) วันนี้ถ้าฝ่าไปได้ 5 กองร้อย จะได้ไปพบกับอีกเป็นสิบเป็นร้อยกองร้อยและทั้งประเทศต่อไป ผ่าน คฝ. กระสุนยางจะไปเจอทหารกระสุนจริง ไม่ใช่วาระเวลาที่ประชาชนจะต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้น เหมือนที่พี่น้องร่วมอุดมการณ์เผชิญหน้ามาแล้วเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ขอให้ประชาชนดูเกมนี้ให้ดี เชื่อว่าบรรยากาศการเผชิญหน้าการปะทะทั้งหมด มันเป็นความพึงพอใจของฝ่ายผู้มีอำนาจ เป็นความต้องการให้ทุกวันมันจบที่ความรุนแรง อย่าให้มันเป็นการเริ่มต้นด้วยเจตนาของเรา  และจบลงด้วยเป้าหมายของผู้มีอำนาจ   
    ด้านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนจะไม่ปล่อยให้นายณัฐวุฒิได้กลับมาสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศประชาชน ภายใต้คำสั่งของนายใหญ่ที่เป็นนายทุนใหญ่ให้กับนายณัฐวุฒิในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป โดยในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 10.00 น. จะไปกองปราบปราม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายณัฐวุฒิ ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84, 85, 86, 87 รวมถึงฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่ห้ามการชุมนุม 
    นายเสกสกลระบุด้วยว่า รวมถึงจะแจ้งความยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของนายณัฐวุฒิด้วยว่าได้รับเงินมาเคลื่อนไหวจากคนแดนไกล หรือจากพรรคการเมืองไหน เหมือนเช่นในอดีตหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ตนจะดำเนินการเพื่อเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ให้นายณัฐวุฒิได้คิดร้ายต่อประเทศชาติและประชาชน เผาบ้านเผาเมืองในรอบที่สองอีกต่อไป     
    ขณะที่นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ชุดที่ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาตั้งขึ้น กล่าวว่า ได้ส่งความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐบาล เพื่อเป็นทางออกให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีแนวทางดังนี้ 1.เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ 2.ยุติการใช้ความรุนแรงเน้นการเจรจาแก้ไขปัญหา 3.เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้มีการเจรจา และ 4.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอย่างในอดีต
นิพิฏฐ์แหก 111 นักกฎหมาย
     ด้านนายสุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรรมการสมานฉันท์กล่าวว่า อย่าแสดงความไม่สนใจผู้ออกมาเรียกร้องและผลักให้เป็นเรื่องของตำรวจ มันยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ควรจะเปิดพื้นที่ให้คนที่มีปัญหาจริงได้เรียกร้องเพื่อดูว่ามีปัญหาอะไร แล้วจะแก้ไขปัญหาอย่างไร การใช้กำลังเข้าปราบปรามไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ทางออก มีแต่จะรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อไม่มีช่องทางสื่อสารกัน ผู้ชุมนุมก็จะหาวิธีสื่อสารโดยเรียกร้องความสนใจอย่างที่เห็นกัน ทางออกสำคัญต้องเปลี่ยนมุมมองให้กว้างกว่าเดิม อย่าไปคิดแค่ว่าเป็นเรื่องการเมือง ฝ่ายค้านก็เช่นเดียวกัน
    ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุไม่เห็นด้วยกับแถลงการณ์ประณามตำรวจของนักกฎหมายคณาจารย์นิติศาสตร์ 111 คน   ว่าตนเห็นตรงข้ามเสียด้วยซ้ำว่าตำรวจเสียอีกที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง  ตำรวจเสียอีกที่ถูกหยามศักดิ์ศรี และเป็นตำรวจมิใช่หรือที่ผู้ชุมนุมเหล่านี้เคยเอาอาหารหมาไปโปรยให้กิน และเปรียบเทียบว่าเขาเป็นหมา
    "อย่าลืมว่าความยุติธรรมมันมี 2 ฝ่ายเสมอ มิใช่ความยุติธรรมฝ่ายเดียว ใจท่านต้องนิ่ง ต้องถอดแว่นแห่งอคติออก และที่สำคัญท่านต้องชั่งความยุติธรรมด้วยตาชั่งที่ไม่เอียง-วันนี้ ผมขอเป็นนักกฎหมายนอกคอก สักวันเถอะ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นใบไม้ร่วง ผมเห็นว่าผู้ชุมนุมต่างหากที่ใช้ความรุนแรง หาใช่ตำรวจไม่" นายนิพิฏฐ์ระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"