ล่าอดีตผบก.เลย กบดานตุ๋นลูกน้อง


เพิ่มเพื่อน    

    อดีต ผบก.เลยดำดิน ไม่ยอมเข้าให้ปากคำคดีฉ้อโกงลูกน้องทั้งจังหวัด 229 ล้าน โทรศัพท์แจ้งอยู่ระหว่างรวบรวมเงินใช้หนี้ ผบช.ภ.4 สั่งออกหมายเรียกตามขั้นตอนก่อนถึงหมายจับ เผยเอาเงินไปให้ผัวเมียร่วมแก๊งเล่นหุ้นจนพังยับ เผยหัวหน้าใหญ่มีหมายจับ 5 คดี ยังกบดานในประเทศ
    ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น ตั้งแต่เช้าวันที่ 13 มิถุนายนนี้ มีสื่อมวลชนจำนวนมากไปรอทำข่าว เพราะเป็นวันที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนัดเป็นครั้งที่ 3 ให้ พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช รองผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล อดีต ผบก.ภ.จว.เลย เข้าให้ปากคำในคดีทุจริตโครงการรวมหนี้และบริหารหนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์ ภ.จว.เลย โดยมีตำรวจในจังหวัดเลยจำนวน 192 นาย ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 229 ล้านบาท
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จนกระทั่งถึงเวลากำหนดนัด 10.00 น. พล.ต.ต.สุทิพย์ก็ไม่เดินทางมารายงานตัวและเข้าให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.ต.ต.สุทิพย์โทรศัพท์แจ้งว่าอยู่ระหว่างรวบรวมเงินมาใช้คืนให้แก่ตำรวจที่ได้รับความเสียหาย
    พล.ต.ท.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง บช.ภ.4 ได้แต่งตั้งขึ้น ได้ออกหมายให้ พล.ต.ต.สุทิพย์มารายงานตัวและให้ปากคำ แต่จนถึงเวลานัดหมายไม่เดินทางมา จึงมีคำสั่งให้คณะพนักงานสอบสวนดำเนินการเอาผิด พล.ต.ต.สุทิพย์ทั้งทางอาญาและวินัย โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย คือการออกหมายเรียกให้ พล.ต.ต.สุทิพย์มารับทราบข้อกล่าวหา คือฉ้อโกงประชาชน หากออกหมายเรียก 2 ครั้งยังไม่มา ก็จะออกหมายจับต่อไป ส่วนความผิดทางวินัยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นฝ่ายพิจารณา 
    ผบช.ภ.4 กล่าวด้วยว่า นอกจากตำรวจจังหวัดเลยจะถูกหลอกเอาเงินไปจำนวนมากแล้ว ตามทางสืบสวนสอบสวนทราบว่า พล.ต.ต.สุทิพย์ ยังอยู่ในเครือข่ายการระดมเงินไปเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ของสามีภรรยาชาวขอนแก่น ที่มีผู้เสียหายทั้งในขอนแก่นและหนองบัวลำภู ความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
    พล.ต.ท.สุรชัยกล่าวว่า ยืนยันว่าคณะทำงานของ บช.ภ.4 ทุกคน ทำงานอย่างเต็มที่ เพราะผู้เสียหายคือผู้ใต้บังคับบัญชา และไม่มีนายตำรวจรายใดที่จะไปรับสินบนหรือไปให้การช่วยเหลือ พล.ต.ต.สุทิพย์อย่างแน่นอน ส่วนการให้ความช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบจากการทุจริตดังกล่าว ได้มีการหารือกับสถาบันการเงินในการหาทางออกร่วมกันแล้ว รวมทั้งมีการปรับวงเงินกู้ฉุกเฉินให้กับข้าราชการตำรวจทั้ง 192 นาย ที่สามารรถกู้ยืมเงินกับทางสหกรณ์ออมทรัพย์ ภ.จว.เลย อีกรายละ 50,000 บาท เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องที่เกิดขึ้น อีกทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังอนุมัติงบประมาณจากสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจกลาง ให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ ภ.จว.ขอนแก่น เพื่อเสริมสภาพคล่องอีก 90 ล้านบาท ทำให้ขณะนี้ขวัญกำลังใจของตำรวจ ภ.จว.เลยดีขึ้นอย่างมาก เพราะผู้บังคับบัญชาทุกระดับใส่ใจและหาทางออกร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร.และ บช.ภ.4 จะลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาอีกครั้งในเร็วๆ นี้
    ด้าน พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะโฆษกตำรวจภูธรภาค 4 เปิดเผยว่า พล.ต.ต.สุทิพย์ได้โทรศัพท์มาหา ยืนยันที่จะนำเงินมาคืนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ขอเวลาสักพัก อ้างว่าขณะนี้เงินทั้งหมดถูกล็อกระบบในการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเครือข่ายที่ พล.ต.ต.สุทิพย์ร่วมลงทุนด้วยสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว และพร้อมที่จะนำเงินมาคืนให้กับตำรวจ จ.เลยได้ ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. วันละ 30 ล้านบาท จนกว่าจะครบจำนวน 229 ล้านบาทที่ได้นำไป
    "การเจรจาหรือชี้แจงของ พล.ต.ต.สุทิพย์ เป็นสิทธิ์ที่เจ้าตัวทำได้ แต่วันนี้ในเมื่อไม่มารายงานตัวและเข้าให้การกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ บช.ภ.4 ก็หมดเวลาในการเจรจาตามที่ได้ให้โอกาสแล้ว และ ผบช.ภ.4 ได้แต่งตั้งผมให้เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนและสอบสวนในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเอาผิดกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ ในข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มีอัตราโทษปรับตั้งแต่ 500,000-1,000,000 บาท จำคุก 5-10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ" พล.ต.ต.ธนาศักดิ์กล่าว
    รอง ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ได้ประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ในการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มขบวนการที่เชื่อมโยงกับ พล.ต.ต.สุทิพย์ พบว่าเป็นการร่วมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานงานไปยังคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการนำเงินไปลงทุนหรือไม่ อย่างไร และกลุ่มธุรกิจอะไรบ้าง รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น และหลายจังหวัดในภาคอีสาน นอกจากนี้ยังประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ในการตรวจสอบการปันผลกำไรหรือค่าตอบแทนในการลงทุนต่างๆ เนื่องจาก พล.ต.ต.สุทิพย์กับพวก ยืนยันการปันผลกำไรสูงถึงร้อยละ 2.8 ต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการดังกล่าว พบว่ามีเงินหมุนเวียนมากถึงเดือนละกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ต.สุทิพย์ เป็น 1 ในสายที่ร่วมลงทุนด้วย ส่วนนายใหญ่ของขบวนการเป็นชาว จ.หนองบัวลำภู ซึ่งได้ถูกออกหมายจับแล้ว 5 คดี ขณะนี้ยังคงหลบหนีอยู่ภายในประเทศ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"