ป่วนกรุงเผาป้อมตร. คาร์ม็อบบุกสาดสี‘ซิโนไทย-บ้านธรรมนัส-คิงเพาเวอร์’


เพิ่มเพื่อน    

“คาร์ม็อบ 10 สิงหา” เดือดอีกแล้ว ปะทะเดือดที่ดินแดงซ้ำรอย 7 ส.ค. ทั้งที่แกนนำประกาศยุติแล้วตั้งแต่ 5 โมงเย็น หลังไปทำกิจกรรมหน้ากลุ่มทุนทั้ง “ซิโน-ไทย, บ้านธรรมนัส, คิง เพาเวอร์” ณัฐวุฒิรีบปลุกกระแสจัดคาร์ปาร์ก 15 ส.ค. “กฤษฎางค์” เตรียมงัด 4-5  ประเด็นพาแกนนำราษฎรพ้นตะราง ศาลเมินคุ้มครองสื่อฟ้องตำรวจยิงกระสุนยาง ระบุมีสิทธิ์ทำได้ตามสถานการณ์แต่ขอให้ระมัดระวัง “ก้าวไกล” รุมจวกบัญชีจับตา ซัด “ประยุทธ์” กำลังเป็นรัฐบาลทรราชโดยสมบูรณ์      
    เมื่อวันอังคารที่ 10 สิงหาคม ที่กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้นัดจัดกิจกรรมคาร์ม็อบในชื่อ “10 สิงหา ขับไล่ทรราชย์”  บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ก่อนเคลื่อนขบวนไปยังที่ต่างๆ นั้น พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวถึงแนวทางการบังคับใช้กฎหมายและการรักษาความปลอดภัยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมนัดหมายกันเวลา 13.00 น.ที่แยกราชประสงค์ เส้นทางที่คาดว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะเดินทางไปที่แยกอโศกมนตรี หน้าบริษัท ซิโน-ไทยฯ ถนนพระราม 9 วกกลับไปอนุสาวรีชัยสมรภูมิ กลับมาที่ถนนลาดพร้าว 
ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมวันนี้การข่าวจะมีความรุนแรงหรือไม่  พล.ต.ต.ปิยะตอบว่า น่าจะมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยให้ผู้การนครบาล 6 ผู้การนครบาล 5 และผู้การนครบาล 2 จัดเตรียมกำลังให้เพียงพอ โดยเฉพาะพื้นที่ต้นทาง ปลายทาง ที่คาดว่าจะพักทำกิจกรรมในระหว่างทาง ส่วน บก.น.2 ที่ดูแลพื้นที่ศาลอาญาได้จัดกำลังไว้ 4 กองร้อย 
รอง ผบช.น.กล่าวถึงการพบกล่องวัตถุต้องสงสัยที่บริเวณหน้าสวนปทุมวนานุรักษ์ ใกล้กับแยกราชประสงค์ว่า เป็นกล่องกระดาษจำนวน 3  กล่อง และกระเป๋าสีดำ 1 ใบวางอยู่บนทางเท้า ตรวจสอบภายในเป็นถุงลูกแก้วจำนวนมาก ซึ่งทางการข่าวเชื่อว่าน่าจะมีการกระทำในลักษณะหนึ่งลักษณะใดที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย รวมทั้งมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่เตรียมอุปกรณ์อาวุธ และอุปกรณ์ที่สามารถใช้ได้เช่นเดียวกันกับอาวุธเพื่อมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์บริเวณนั้น ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่ได้เตรียมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันปราบปรามเพื่อสกัดกั้น ความจริงเป็นอย่างไรประชาชนเห็นชัดเจน โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่นำข้อมูลมาให้เมื่อการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา 
“สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไปยังประชาชนหรือบางคนที่เข้ามาร่วมกับกลุ่มคาร์ม็อบอย่างสนุกสนาน การรวมตัวที่แยกราชประสงค์ทำให้รถติดยาว บริเวณแยกราชประสงค์มีโรงพยาบาลที่สำคัญ เช่น รพ.ตำรวจ,  รพ.จุฬาลงกรณ์ และ รพ.หัวเฉียว ประชาชนอีกหลายคนมีความจำเป็นที่ต้องใช้เส้นทางในการรักษาตัวหรือเดินทางไปพบแพทย์ การเดินทางไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อครั้งที่ผ่านมาจะเห็นว่า รถพยาบาลที่นำคนเจ็บไปที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า, รพ.ราชวิถี หรือ รพ.ในละแวกนั้นไม่สามารถรับการรักษาได้ อยากให้กลุ่มผู้ชุมนุมพึงตระหนักการกระทำในลักษณะดังกล่าวว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่” พล.ต.ต.ปิยะกล่าว 
บช.น.แจงรู้หมด 300 คดีม็อบ
พล.ต.ต.ปิยะยังกล่าวถึงการดำเนินคดีในการชุมนุมที่หน้า บก.ตชด.ภ.1 จ.ปทุทมธานี เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ว่า ตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งหมด 9 คน จับกุมตัวและรับมอบตัวมาดำเนินคดีและฝากขังต่อศาลธัญบุรีเรียบร้อยแล้ว และศาลมีคำสั่งให้ขังผู้ต้องหาทั้ง 9 ไว้ระหว่างสอบสวน นอกจากนี้คดีที่มีการกระทำความผิดก่อความไม่สงบเรียบร้อยที่หน้า สน.ทุ่งสองห้อง วันที่ 3 ส.ค. พนักงานสอบสวนพิสูจน์ทราบตัวบุคคล ออกหมายจับผู้ต้องหา 4 ราย และได้ควบคุมตัวทั้งหมดดำเนินคดี ฝากขังผู้ต้องหาต่อศาล ศาลได้อนุญาตให้ฝากขัง 1 คน คือนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ในระหว่างการสอบสวน  กรณีมีการทุบทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7  ส.ค. นอกจากนี้พนักงานสอบสวนได้ขอศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในคดีวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้ยุติแต่ไม่ยอมยุติ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.215, 216 ซึ่งกรณีนี้เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับได้เข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวและผัดฟ้องฝากขังต่อศาลรับตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดีความมั่นคงในเขตกรุงเทพฯ บช.น.ได้ดำเนินคดีแล้วทั้งสิ้น 300 คดี สอบสวนเสร็จสิ้น 196 คดี อยู่ระหว่างการสอบสวน 104 คดี ขณะนี้พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่สืบสวนได้ทำการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลผู้กระทำความผิดในคดีต่างๆ ทุกราย
    และเมื่อเวลา 13.15 น. มวลชนกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมทยอยรวมตัวทำกิจกรรมคาร์ม็อบ บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีได้แจ้งห้ามทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และประกาศของ กทม.  แต่กลุ่มผู้ชุมนุมได้ตะโกนโห่ไล่ตำรวจด้วยความไม่พอใจ หลังจากนั้น เวลา 13.35 น. แกนนำกลุ่มได้ประกาศให้ปรับขบวนใหม่ โดยให้รถยนต์ที่ร่วมกิจกรรมกลับรถเพื่อหันหัวขบวนไปทางแยกราชประสงค์แทน  และให้กลุ่มมอเตอร์ไซค์ที่เป็นการ์ดนำขบวนเลี้ยวซ้ายไปทางแยกเพลินจิต ตรงไปเส้นทางฝั่งสุขุมวิทขาออก 
ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวไม่มีแกนนำที่ชัดเจน มีรถยนต์กระบะประชาสัมพันธ์ติดเครื่องเสียงของกลุ่มคนรุ่นใหม่นนทบุรีเป็นรถอำนวยการเส้นทางการชุมนุม โดยขณะที่บางช่วงมีเสียงการสื่อสารจากภายนอกผ่านโทรศัพท์เข้ามา และใช้เสียงต่อเข้าลำโพงแจ้งทำกิจกรรมต่างๆ   กับผู้ชุมนุม 
    ในเวลา 14.45 น. หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลื่อนขบวนออกมาจากแยกราชประสงค์ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพลินจิตฝั่งสุขุมวิทขาออก แล้วไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนอโศกมนตรี เพื่อมายังเป้าหมายหน้าอาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ แกนนำได้ให้รถมอเตอร์ไซค์ทั้งหมดบีบแตรแสดงสัญลักษณ์ เรียกร้องให้กลุ่มทุนที่ได้รับอานิสงส์จากรัฐบาลถอนตัว โดยนายณวรรษ เลี้ยงวัฒนา ปราศรัยเรียกร้องให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้น บ.ซิโน-ไทย ซึ่งเป็น 1 ใน10 ทุนไทยที่หนุนรัฐบาลออกมาแสดงจุดยืนว่าอยู่เคียงข้างประชาชน ในขณะที่ น.ส.เบนจา อะปัญ แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้อ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 2 โดยเรียกร้องใน 5 ข้อ
    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ประเมินยอดมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในช่วงเริ่มต้นมีประมาณ 700 คน รถยนต์ 200 คัน และจักรยานยนต์ 300 คัน 
    ต่อมาในเวลา 16.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมคาร์ม็อบได้เดินทางมาถึงบริษัท ธรรมนัส กรุ๊ป จำกัด ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในซอยเลิศแก้ว ย่านประชาสงเคราะห์ ซึ่งทันทีที่แกนนำได้ชี้ว่าบ้านพักของ ร.อ.ธรรมนัสอยู่ตรงไหน กลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากก็ได้พากันแห่ไปที่หน้าบ้าน และมีเสียงดังคล้ายระเบิดขนาดเล็กดังหลายครั้ง ทำให้บ้านเรือนของประชาชนและตลาดที่อยู่ละแวกนั้นได้รับความเดือดร้อน รวมถึงเกิดปากเสียงระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและตำรวจนอกเครื่องแบบ ทำให้กลุ่มการ์ดผู้ชุมนุมต้องเข้ามาคลี่คลาย​สถานการณ์​ไล่ผู้ชุมนุมออกจากบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยหลังจากเกิดเหตุแกนนำได้ประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมไปสถานที่ต่อไปคือ คิง เพาเวอร์ ถนนรางน้ำ 
จากนั้นเวลา 16.35 น. ขบวนคาร์ม็อบเดินทางถึงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง ซึ่งเป็นจุดปะทะกันเมื่อการชุมนุมกลุ่มราษฎรเมื่อวันที่ 7  ส.ค. และก็ได้เกิดเหตุอีกครั้ง โดยมีเสียงดังคล้ายประทัดยักษ์เป็นระยะ  นอกจากนี้มีผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามทำลายป้อมจราจรของ สน.ดินแดง  ขณะที่แกนนำบนรถปราศรัยย้ำผู้ร่วมชุมนุมว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้ยึดสันติวิธี พยายามอย่าขว้างปาสิ่งของ เราเน้นสันติวิธี จากนั้นได้สั่งให้ชะลอการเคลื่อนขบวน ให้รถปราศรัยนำขบวน และขอให้พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ ท่ามกลางเสียงบีบแตรดังสนั่น และมีเสียงคล้ายประทัดดังเป็นระยะ พร้อมเน้นย้ำเป็นระยะให้คาร์ม็อบเดินทางไปยังคิง เพาเวอร์ ที่เป็นจุดควบรวมทุนใหญ่ที่สนับสนุนระบอบเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเมื่อมาถึงในเวลา 16.45 น. แกนนำได้ประกาศบนรถปราศรัยโจมตีคิง เพาเวอร์ จากนั้นได้ปาสีใส่ป้ายพร้อมพ่นข้อความ และประกาศยุติการชุมนุมในเวลา 17.00 น. โดยแกนนำได้ประกาศขอให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายเดินทางกลับบ้าน พร้อมขอให้หลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านบริเวณถนนดินแดง
ดินแดงเดือดอีกรอบ
    โดยในเวลา 17.00 น. บริเวณแยกดินแดงยังคงเกิดการประทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนและกลุ่มมวลชน ที่เจ้าหน้าที่ตั้งแนวป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้ไปที่ ร.1 ถนนวิภาวดี ซึ่งเป็นบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยกลุ่มมวลชนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเยาวชน โดยผู้ชุมนุมได้เข้าทำลายป้อมตำรวจที่แยกดินแดง ขณะที่อีกส่วนได้ขว้างประทัดและสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ สถานการณ์ตึงเครียด ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ากระชับพื้นที่โดยยิงแก๊สน้ำตา ส่วนผู้ชุมนุมได้ขว้างปาสิ่งของและยิงพลุใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงประทะกันตลอดเวลาและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ตำรวจควบคุมฝูงชนปะทะกับมวลชนทั้งวันที่ 1 ส.ค.และวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่แกนนำได้ประกาศให้มวลชนไปรวมตัวกันที่หน้าอาคารคิง  เพาเวอร์ โดยอ้างว่าคู่ต่อสู้ของพวกตนไม่ใช่ตำรวจหรือ คฝ. แต่คือทรราช กระทั่งมีการแจ้งยุติการชุมนุม แต่การประทะกับเจ้าหน้าที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ขณะที่เจ้าหน้าที่ส่งกำลังเข้าเสริมพื้นที่เป็นระยะๆ เช่นกัน
    เวลา 17.45 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้จุดไฟเผาป้อมตำรวจบริเวณแยกดินแดง ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนเร่งนำรถแรงดันน้ำเข้าดับไฟ และตั้งแนวเดินหน้าเข้ากระชับพื้นที่​ โดยใช้แก๊สน้ำตา ปืนยิงกระสุนยาง และรถแรงดันน้ำเข้าสลายการชุมนุม ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นเป็นระยะๆ ไปบนสะพานมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์​ชัยสมรภูมิ​ และมีบางส่วนถอยร่นไปที่แยกดินแดงฝั่งมุ่งหน้าไปแยกสุทธิสาร โดยเจ้าหน้าที่กล่าวผ่านเครื่องกระจายเสียงโดยสรุปใจความว่าให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับ ซึ่งหากใครฝ่าฝืนไม่เดินทางกลับจะดำเนินคดีทั้งหมดตามกฎหมายอาญาและ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามยั่วยุเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง   ทั้งตะโกนด้วยถ้อยคำหยาบคาย ยิงหนังสติ๊ก ระเบิดขนาดเล็ก รวมถึงเบิ้ลเครื่องรถจักรยานยนต์ ทำให้มีการปะทะอย่างต่อเนื่อง 
    ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนทำกิจกรรมคาร์ปาร์กในวันที่ 15 ส.ค. โดยระบุว่า ใน กทม.จะมี 3  เส้นทาง ไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะแจ้งเส้นทางให้ทราบอีกครั้ง ส่วนต่างจังหวัดจะมีเวทีของตัวเอง โดยนัดหมายในเวลา 14.00 น. เคลื่อนขบวน 15.00 น. ฟังการปราศรัย ฟังเพลง ดูการแสดงกันไปจนถึง  18.00 น. จะจอดรถพร้อมกัน แล้วกดแตรยาวเท่าความยาวของเพลงชาติ เพื่อส่งสัญญาณขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์พ้นตำแหน่งนายกฯ  ก่อนยุติกิจกรรม
    ขณะเดียวกัน นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงประเด็นที่ศาลอาญาถอนประกันนายพริษฐ์  ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน เเละศาลจังหวัดธัญบุรีมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเเกนนำว่า คณะทนายความจะหยิบยกประเด็นหลัก 4-5 ประเด็นที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ส่วนกรณีนายอานนท์ นำภา ที่ สน.ปทุมวันนั้น คิดว่าน่าจะฝากขังในวันนี้ แต่พนักงานสอบสวนบอกว่าจะมาฝากขังในวันรุ่งขึ้น  ซึ่งไม่รู้ว่ามีอำนาจอะไรมาเลื่อนไปอีก 1 วัน ความจริงคิดว่ามันน่าจะหมดเวลาควบคุมในชั้นโรงพักวันนี้แล้ว
    ส่วนที่ศาลเเพ่ง ศาลอ่านคำสั่งในคดีที่นายธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ กับพวกรวม 2 คน ซึ่งเป็นสื่อมวลชนจาก Voice TV, The  Matter และ Plus Seven ที่อ้างว่าได้รับบาดเจ็บจากปืนยิงกระสุนยางของตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 1 คน และขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉิน ในคดีหมายเลขดำที่ พ 3683/2564 นั้น ศาลพิเคราะห์แล้วว่า จำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจในการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการที่เหมาะสมตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง ดังนั้นกรณีใดมีความจำเป็นในการใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยาง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงของผู้ชุมนุมและเหตุการณ์ และโจทก์ทั้งสองมิได้เป็นผู้เข้าร่วมชุมนุม จึงไม่อาจร้องขอคุ้มครองชั่วคราวแทนผู้ร่วมชุมนุมได้ แต่มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุม และสลายการชุมนุมโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของโจทก์ทั้งสอง และสื่อมวลชนภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน
    วันเดียวกัน ยังมีความต่อเนื่องจากกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงเอกสารจับตาบุคคล 183 รายชื่อ และบัญชีโซเชียลมีเดีย 19 บัญชีที่ถูกระบุเป็น  Watchlist นั้น พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กล่าวว่า จะตรวจสอบถึงที่มาของเอกสารดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นได้รับการยืนยันจาก พล.ต.ต.วีรพล สวัสดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ว่าไม่เคยทำบัญชีเฝ้าระวังบุคคลทางการเมือง  เอกสารลับดังกล่าวไม่ใช่เอกสารที่ออกจาก สตม.แน่นอน
พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองโฆษก สตม.กล่าวว่า ในทางปฏิบัติ สตม.จะตรวจสอบบุคคลต้องห้ามด้วยระบบไบโอเมทริกซ์ โดยกลุ่มแรกคือ บุคคลต้องห้ามชาวต่างด้าว และบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ที่เคยถูกจับกุม กลุ่มที่ 2 คือชาวต่างด้าวและคนไทย มีหมายจับคดีอาญา ซึ่งล่าสุดมีจำนวน 1,923 คน โดยจำนวนจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ส่วนบุคคลที่ไม่มีหมายจับคดีอาญาสามารถเดินทางเข้าออกประเทศได้ตามปกติ และที่ปรากฏชื่อ พ.ต.ท.หญิง โสภิดา สารวัตร กองกำกับการสืบสวนป้องกันปราบปราม กองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 2 ในเอกสารลับนั้น พ.ต.ท.หญิงทำหน้าที่ธุรการ ไม่มีหน้าที่ไปตรวจสอบติดตามบุคคลเฝ้าระวังตามที่ปรากฏในเอกสารลับแต่อย่างใด
ก้าวไกลฟันธงเอกสารจริง
    ขณะที่ห้องแถลงข่าวพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช​ ตุลาธน​ เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงว่า พรรคได้ตรวจสอบและพิจารณาเอกสาร  Watchlist แล้วเห็นว่า 1.รายชื่อบุคคลที่ถูกจับตาในบัญชีนี้ ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยประชาชนและนักกิจกรรมที่ออกมาแสดงออกทางการเมือง วิพากษ์วิจารณ์และขับไล่รัฐบาล รวมทั้งบุคคลที่ออกมาเรียกร้องการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่อายุไม่เกิน 30 ปี และมีเยาวชนอายุไม่ถึง 18 ปีอย่างน้อย 2 ราย 2.ในบัญชีนี้ยังมีนักการเมืองอีก 8 คน ซึ่ง 7 คนอยู่ในพรรคก้าวไกลและอดีตพรรคอนาคตใหม่
    “พรรคพิจารณาลักษณะของเอกสารแล้วเห็นว่า บัญชีความมั่นคงนี้น่าจะเป็นเอกสารจริง ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับพวกเราในช่วงที่ผ่านมา เช่นกรณีของอาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ซึ่งเพิ่งเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเยี่ยมภรรยา เมื่อไปที่เคาน์เตอร์ออกตั๋วที่สนามบินก็เกิดปัญหาไม่สามารถเช็กอินได้ในทันที จนต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ว่าไม่ได้มีหมายจับหรือคำสั่งศาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาอาจารย์ปิยบุตรก็ถูกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบติดตามตลอดเวลา  ส่วนกรณีคุณพรรณิการ์ วานิช พบว่ามีคนแอบเอาเครื่องจีพีเอสติดตามไว้ใต้รถ ซึ่งพบโดยบังเอิญเมื่อนำรถไปล้างแล้วเจอแผ่นโลหะสีดำติดอยู่ใต้ท้องรถ ขณะที่คุณธนาธร, คุณพิธา, คุณรังสิมันต์, คุณอมรัตน์ และผมก็ถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบติดตามเป็นประจำ”
    นายชัยธวัชกล่าวว่า เชื่อว่าการติดตามบุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีเฝ้าระวังไม่ได้จำกัดเฉพาะที่ ตม.เท่านั้น เอกสารของ ตม.เป็นแค่ปลายทาง แต่เชื่อว่าบัญชีความมั่นคงเหล่านี้ถูกส่งมาจากหน่วยงานความมั่นคงที่เหนือกว่านั้น และกระจายไปยังกลไกต่างๆ ของทั้งตำรวจ ทหาร  และหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ต้องมีส่วนรู้เห็นและรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ เพราะเป็นการใช้อำนาจนอกกฎหมายเพื่อคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนและนักการเมือง ที่ท่านมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของพวกท่าน
    “รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์กำลังเป็นรัฐบาลทรราชโดยสมบูรณ์  เพราะแทนที่ท่านจะรีบแก้ไขวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ที่เกิดจากความผิดพลาดร้ายแรงของพวกท่าน กลับมองประชาชน คนรุ่นใหม่ หรือกระทั่งเยาวชนอายุ 15 ปี สื่อมวลชน นักสิทธิมนุษยชน ศิลปิน และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู” นายชัยธวัชกล่าว
    ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่มีรายชื่อในบัญชีดังกล่าว ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า "เราต้องถามตอบโต้พวกเขากลับไปว่า เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายใดในการทำรายชื่อ Watchlist เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายใดในการเฝ้า ติดตาม ขับรถตาม สอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของเรา ครั้งหนึ่งเคยถามตำรวจระดับสูงคนหนึ่งว่า ทำไมตำรวจต้องมาทำแบบนี้ เขาบอกผมว่าทุกรัฐบาลใช้งานตำรวจในการหาข่าวจากฝ่ายตรงข้ามทั้งนั้น วันหนึ่งฝ่ายอาจารย์ได้เป็นรัฐบาลบ้าง ก็ใช้ตำรวจหาข่าวเหมือนกัน ก็เลยบอกไปว่าไม่มีทาง ถ้ามีอำนาจบริหารจริง ไม่ทำแน่นอน ทำไมเราไม่ทำให้ตำรวจเป็นกลางทางการเมือง ไม่ต้องถูกพรรคใดพรรคหนึ่งไปใช้".


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"