9 ส.ค.64 - นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เผยแพร่บทความเรื่อง "อนารยาธิปไตย" มีเนื้อหาดังนี้
7 สิงหาคม 2564 ผ่านไป พร้อมกับซากรถตำรวจที่ถูกเพลิงเผา ป้อมตำรวจที่ดินแดงถูกทำลาย ฐานอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตรงแผ่นป้ายจารึกชื่อบรรพบุรุษไทยที่พลีชีพเพื่อชาติในมหาสงครามเอเชียบูรพา นั้น เปรอะเปื้อนไปด้วยถ้อยคำต่ำทราม ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ สีแดงกับสีดำ
บุคคลระดับแกนนำออกมาแก้ตัวว่าตำรวจเผาเอง แกนนำอีกคนบอก “ประชาชนไปด้วยสองมือเปล่า มีแต่ความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธ” แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะภาพในสื่อนั้นตรงกันข้าม
ก่อนหน้านั้น ณ ประตูทางเข้า กระทรวงสาธารณสุข ด้วยความบ้าระห่ำ เราเห็นคนกลุ่มก้อนเดียวกันกระโดดถีบแนวกั้นตำรวจที่ถือโล่ป้องกัน
ภาพการสาดสีแดงใส่แผงกั้นตำรวจที่ปทุมธานี ภาพการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ภาพการโหมโฆษณานัดหมาย 7 สิงหา ให้รวมตัวกันไปราวีถึงพระบรมมหาราชวัง
แกนนำหญิงคนหนึ่งนั้น โพสต์แจกอวัยวะเพศชาย (ที่ตนเองไม่มี) ให้ประธานรัฐสภา เธอใส่เสื้อพื้นขาว ตัวหนังสือสีแดงสื่อความแบบเดียวกันในวันปฐมนิเทศ นิสิตใหม่จุฬาฯ และเดี๋ยวนี้ก็ยังโพสต์ไล่แจกของลับชายเหมือนว่าตนเองมีสิ่งนั้นอยู่มากมาย
แกนนำชายอีกคน ในวันปฐมนิเทศ นิสิตใหม่จุฬาฯ เขาชูมือสองข้าง ยกนิ้วกลางขึ้นพร้อมกัน แล้วแนะนำว่านักศึกษาควรให้ของลับกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย เขาเปล่งเสียงเอ่ยคำหยาบนั้นอย่างเปิดเผยชัดถ้อยชัดคำ
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการแสดงออกทั้งพฤติกรรม และวาทกรรมของผู้ที่เรียกตนเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย
สถุลถ่อยและต่ำทรามอย่างนี้หรือเป็นประชาธิปไตย พวกเขาไปขุดตำรามาจากนรกขุมไหน
การต่อสู้ในยุค 14 ตุลาคม 2516 นั้น ไม่มีอะไรที่ต่ำทรามเช่นนี้ อย่างมากสุด มีการแปลงโคลงสี่สุภาพ มาล้อเลียนกันบนเวทีธรรมศาสตร์ ว่า
“หากถนอมยังอยู่ยั้ง ยืนยง
ประภาสก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
ถนอม – ประภาสพินาศลง ณรงค์อยู่ ได้ฤา
--------------------”
นี่คือการแสดงออกอย่างมีอารมณ์ขันของคนรุ่นพ่อรุ่นลุงของเด็กยุคนี้
นักประชาธิปไตยที่ไหนในโลก ที่ถือว่า :-
เสรีภาพ คือการเผาทำลายทรัพย์
เสรีภาพ คือการยืนขึ้นกลางศาลชี้หน้าผู้พิพากษา
เสรีภาพ คืออยากด่า อยากละเมิดใครก็ได้ ทั้งด้วยถ้อยคำ ตัวหนังสือ และสัญลักษณ์เบื้องต่ำ
คนที่เกรี้ยวกราด ด่าทอ แสดงความจงเกลียดจงชัง และก้าวร้าวนั้น แพทย์อธิบายว่าเป็นกลุ่มจิตเภท อาจมาจากการเลี้ยงดูอย่างตามใจมาแต่เด็ก อาจเก็บกด จนจิตหลอน และต้องปล่อยของออกมาเป็นบันดาลโทสะ ที่เห็นคนอื่นผิดหมด ตนเองวิเศษอยู่แต่เพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียว
ความเถื่อนถ่อยเป็นครั้งคราว อาจเป็นความพลั้งเผลอ แต่การผลิตซ้ำความต่ำทราม การใช้เสรีภาพซ้ำซากในการก้าวล่วงสถาบันแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่การปฏิรูปตามคำกล่าวอ้าง แต่แสดงถึงจิตสำนึกที่จ่อมจมอยู่กับความจงเกลียดจงชัง และความสถุลถ่อยที่ไร้ยางอาย
ถ้าเป็นการแสดงออกในวงแคบของกลุ่มก๊วนตัวเอง ก็ยังจำกัดขอบเขต แต่นี่หมายใจจะเป็นผู้นำมวลชน เป็นหัวขบวนประชาธิปไตยของประเทศไทย แล้วผลเป็นอย่างไร
ใครที่เอาความเถื่อนถ่อยมานำทางนั้น ประสบชะตาร้ายทุกคน ไม่ติดคุกก็จะไร้แผ่นดินซุกหัวนอน หรือไม่ก็ตายก่อนวัย ซึ่งมีให้เห็นแล้ว
พวกเขาจะทำด้วยตนเอง เขาจะรับจ้างใครมา เขาจะมีต่างชาติชักใยหรือไม่ นั่นเป็นวิถีของเขาเอง
ข้อสำคัญมันไม่ใช่พฤติกรรมของนักประชาธิปไตย
คนอื่นมีศักดิ์และศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ที่เขาควรได้รับความเคารพ คนอื่นมีตัวตนที่ไม่ต้องการให้ใครมาละเมิด ทรัพย์สินสาธารณะมีประชาชนเป็นเจ้าของที่จะต้องไม่ถูกทำลาย วีรชนที่ถูกจารึกชื่อที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมีไว้ให้เคารพและสำนึกในบุญคุณ ไม่ใช่มีไว้ให้ใครมาเหยียดหยามหมิ่นแคลน
คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนักประชาธิปไตย คือการเปิดใจกว้างที่จะรับฟังความเห็นต่างของคนอื่น คือการใช้เสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนอื่น
คนที่ทำตรงกันข้ามกับคุณสมบัตินี้ ไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นนักอนารยาธิปไตย โดยแท้.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |