อภิปรายบิ๊กป้อม เด็กพปชร.เสนอ ดันป๊อกสลับหนู!


เพิ่มเพื่อน    

"บิ๊กป้อม" ไม่รอด ฝ่ายค้านจับขึ้นเขียงซักฟอกปมหนุนซื้อเรือดำน้ำ พท.ขย่มซ้ำนายกฯ ยืมมือคำสั่งศาลแพ่ง ยื่น ป.ป.ช.ฟันผิดจริยธรรม พปชร.เขย่าเก้าอี้ภูมิใจไทย เด็กธรรมนัสโผล่หนุนเขี่ยเสี่ยหนู พ้นสาธารณสุข ให้สลับเก้าอี้บิ๊กป๊อก  
    เมื่อวันที่ 8 ส.ค. นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช  และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็น ส.ส.สาย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19  ที่แพร่ระบาดในขั้นรุนแรง ซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงสุดติดต่อกันเกือบทุกวัน จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการสถานการณ์ ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาจึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณาให้มีการปรับเปลี่ยนการบริหารงานในตำแหน่งรัฐมนตรีของรัฐบาลใหม่ โดยให้มีการสลับตำแหน่งระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุขคนปัจจุบัน  เพื่อแก้ไขสถานการณ์การควบคุมโควิด-19 ที่จะต้องรัดกุมและเด็ดขาด  ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้
    "สำหรับผู้ที่ความเหมาะสมนั้น ขอเสนอให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา  รมว.มหาดไทยเป็น รมว.สาธารณสุข เนื่องด้วยบุคลิกการทำงานที่เป็นผู้นำ มีความเด็ดขาดในแบบฉบับของอดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งจะสามารถสั่งการทั้งเรื่องของควบคุมการแพร่ระบาดโควิด การตรวจเชื้อเชิงรุกและการจัดสรรวัคซีน และทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายไปได้ ขณะที่นายอนุทินนั้นเหมาะสมที่จะเป็น รมว.มหาดไทย  เนื่องจากนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งจะสามารถถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานได้ รวมทั้งประสบการณ์ของนายอนุทินซึ่งเคยบริหารบริษัทเอกชนมาแล้ว จะสามารถนำมาปรับใช้กับรูปแบบการบริหารในส่วนของการปกครองที่จะต้องกระจายอำนาจให้ส่วนภูมิภาคได้" รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐระบุ
    นายสัณหพจน์กล่าวต่อว่า ที่เสนอให้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ ตนเสนอในนามของ ส.ส. โดยเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์โควิดดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความเชื่อมั่นให้ประชาชน
    ด้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า  ในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 16 สิงหาคม พรรคร่วมฝ่ายค้านมีความพร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูลความผิดพลาดของรัฐบาลจากการบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยพุ่งเป้าไปที่พลเอกประยุทธ์, นายอนุทิน  ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข นอกจากนี้จะเสนอต่อหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเพิ่มรายชื่อพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้เป็นหนึ่งในผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เนื่องจากในสถานการณ์โควิดที่ประชาชนอดอยากตกงาน แต่พลเอกประวิตรยังคงสนับสนุนให้จัดซื้อเรือดำน้ำ ขณะที่พลเอกประยุทธ์ในฐานะ รมว.กลาโหมก็ปล่อยปละละเลยให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้งบประมาณ ในโครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธจำนวน 169 คัน มูลค่ารวม 921  ล้านบาท ทั้งที่งบประมาณยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ และยังไม่ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่อย่างใด
    ส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีศาลแพ่งสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้าม พล.อ.ประยุทธ์บังคับใช้ข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 29 โดยระบุว่าข้อกำหนดที่ออกมาไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ระบบของรัฐธรรมนูญ 60 ที่วางไว้ หากผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดำเนินการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องพิจารณาในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยต้องยื่นเรื่องผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งหาก ป.ป.ช.ไต่สวนแล้วมีมูลเข้าข่ายความผิดทางอาญา ก็จะส่งให้อัยการยื่นเรื่องต่อศาลฎีกานักการเมือง ถ้ามีมูลเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง เรื่องจะไปถึงศาลฎีกา โดยพรรคเพื่อไทยอยู่ระหว่างการร่างคำร้องเพื่อยื่นต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวน พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินการโดยฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบ คาดว่าจะยื่นได้ช่วงสัปดาห์หน้า
    เมื่อถามถึงความคืบหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายชูศักดิ์ตอบว่า จะยื่นอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์และนายอนุทินเป็นหลัก นอกจากนี้ยัง มีประเด็นเกี่ยวกับรัฐมนตรีคนอื่นด้วย โดยฝ่ายค้านจะประชุมกัน 11  ส.ค.เพื่อสรุปรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย
    นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2565 จากพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พบหลายประเด็นที่น่าสงสัย อันเป็นเหตุต้องร้องขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ โดยนายพิธาแจ้งว่ามีคู่สมรส และคู่สมรสเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง แต่นายพิธากลับไม่แสดงรายได้ รายจ่าย หรือหุ้นของคู่สมรสต่อ ป.ป.ช. นายพิธาได้นำอาคารของน้องชาย มูลค่า 15,000,000 บาทมาแสดงในบัญชีทรัพย์สินของตนเอง ในทางบัญชีควรตรวจสอบว่าทรัพย์สินรวมที่แจ้งสูงเกินจริงหรือไม่
    "นายพิธาแจ้งที่ดินรายการหนึ่งว่า เป็นที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งแปลกมาก เพราะนายพิธาไม่น่าจะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวได้ แม้จะไม่ได้แจ้งเลขที่ เนื้อที่ และมูลค่าไว้ก็ตาม แต่การแสดงรายการที่ดินเช่นนี้อาจเข้าข่ายแจ้งข้อความโดยไม่ตรงความจริงหรือไม่  นายพิธาไม่ได้แจ้งมูลค่าที่ดินและบ้านของคู่สมรสไว้แต่อย่างใด ทั้งนี้เห็นได้จากมีการแจ้งรายการอาคารของคู่สมรสไว้ด้วย แต่ไม่แสดงมูลค่า วิเคราะห์ได้ว่าคู่สมรสมีอาคารดังกล่าว ซึ่งควรตั้งอยู่บนที่ดิน แต่กลับไม่มีการแจ้งมูลค่าอาคารและที่ดินไว้ ทำให้มีประเด็นที่ควรตรวจสอบทางบัญชีตามมาว่า บัญชีทรัพย์สินรวมของคู่สมรสแสดงไว้ต่ำกว่าความเป็นจริงหรือไม่" นายเรืองไกรกล่าว 
    นายเรืองไกรกล่าวว่า หลักฐานทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นล้วนมาจากการตรวจสอบรายการในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่นายพิธายื่นต่อ  ป.ป.ช.เมื่อคราวรับตำแหน่ง ส.ส. รวมทั้งข่าวในสื่อต่างๆ ดังนั้นจึงมีเหตุที่ต้องร้องขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่า บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของนายพิธากับคู่สมรสที่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ไว้นั้น เข้าข่ายตามความใน พ.ร.ป. ป.ป.ช. มาตรา 114 หรือไม่ อีกทั้งได้รับข้อมูลที่ขอไว้ในชั้น กมธ.งบประมาณ 65 ว่ามี ส.ส.และ ส.ว.ยังถือครองที่ดิน ส.ป.ก.อยู่รวม 5 ราย  ดังนั้นจะส่งคำร้องกรณีนายพิธา รวมทั้งกรณี ส.ส.และ ส.ว. 5 รายเป็นหนังสือไปถึง ป.ป.ช.วันที่ 9 ส.ค.ทางไปรษณีย์ EMS.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"