ขณะที่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 บางประเทศสามารถจัดการได้ดี เพราะรัฐบาลใช้กฎหมายกำกับพฤติกรรมของคนในประเทศ อีกทั้งประชาชนก็มีวินัย เคารพกฎหมาย ไม่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยอารมณ์ที่ท้าทาย นอกจากเคารพกฎหมายแล้ว พวกเขายังปฏิบัติตามมาตรการที่เป็นการ “ขอความร่วมมือ” อีกด้วย อาจจะสรุปได้ว่าความสำเร็จของประเทศเหล่านั้นเกิดจากความเด็ดขาดของรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมาย ความมีวินัยของประชาชน รวมทั้งความร่วมมือจากสื่อสารมวลชนในการเสนอข่าวที่เป็นประโยชน์กับการทำงานของหมอและพยาบาล และประชาชนที่ต้องการรู้ข้อมูลที่จะนำไปใช้ปฏิบัติตนให้รอดพ้นจากการติดเชื้อ ตลอดจนการดูแลรักษาตนเองเมื่อมีการติดเชื้อ แต่ยังไม่มีอาการหนัก รวมทั้งความสามัคคีของคนในชาติที่เคารพกฎหมาย และทำตามมาตรการที่คณะแพทย์แนะนำด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น
จากการพินิจพิเคราะห์การทำงานของประเทศที่จัดการได้สำเร็จ แล้วหันกลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราแล้ว รู้สึกหดหู่จนถึงสิ้นหวัง เพราะสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่กล่าวมาข้างต้นนั้น แทบจะไม่มีเลย เพราะเราอยู่ในบรรยากาศของความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง อยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะปรองดองกันได้ ดังนั้นเราจึงไม่เห็นความสามัคคีที่จะก่อให้เกิดความร่วมมือกัน
ในขณะที่หมอกลุ่มหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญ ออกมาช่วยกันคิดช่วยกันทำ ออกมาตรการต่างๆ ที่จะช่วยประชาชนด้วยความเชี่ยวชาญ ก็มีหมออีกกลุ่มหนึ่งออกมาให้ข้อมูลและความคิดเห็นสวนทางกับข้อมูลและข้อเสนอแนะของหมอที่อยู่ในคณะทำงาน มีการด่าทอต่อว่าประณามหมอผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ทั้งๆ ที่ท่านทั้งหลายเป็นอาจารย์สอนพวกเขามาก่อน เมื่อข้อมูลจากหมอออกมาเช่นนี้แล้ว ประชาชนก็เกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อใคร มีคนพยายามออกมารณรงค์ด้วยวาทกรรมว่า “สำหรับเรื่องโควิด เรื่องวัคซีน ให้เชื่อหมอ อย่าเชื่อหมา (หมายถึงคนที่ไม่ใช่หมอ แต่มาให้ข้อมูลและออกความคิดเห็นแย้งกับหมอ)” แต่เมื่อข้อมูลที่ขัดแย้งกันต่างก็มาจากการบอกกล่าวของหมอ แล้วเราจะเชื่อหมอคนไหน โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนที่ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัย จนมีคนไม่ยอมฉีดเป็นจำนวนมาก แล้วก็เป็นผู้ติดเชื้อ เป็นผู้แพร่เชื้อ ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น ตายกันมากขึ้น
ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน และคนที่ไม่ใช่นักการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามรัฐบาล ต่อต้านรัฐบาล มักจะออกมาแย้งทุกเรื่องที่รัฐบาลประกาศขอความร่วมมือกับประชาชน ไม่ว่ารัฐบาลจะประกาศขอความร่วมมืออะไร ออกมาตรการอะไร คนพวกนี้ก็จะแย้งไปทุกเรื่อง รัฐบาลทำผิดทั้งหมด ไม่มีไรถูกต้องเลย ไม่ว่าเรื่องการดูแลรักษาคนป่วย การสั่งซื้อวัคซีน การเลือกยี่ห้อวัคซีน การกระจายวัคซีน การจัดฉีดวัคซีน ความไม่พอใจรัฐบาลและความต้องการที่จะล้มรัฐบาล คนเหล่านี้บางคนก็เอาเรื่องโควิดมาเป็นประเด็นทางการเมือง เห็นแก่ตัว ใจดำอำมหิต ไม่เห็นแก่ชีวิตประชาชน พยายามทำทุกวิถีทางที่จะล้มรัฐบาลให้ได้ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เวลา และพวกเขาก็มีแนวร่วมอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อพวกเขาพยายามด้อยค่ารัฐบาล ประชาชนที่เป็นแนวร่วมของเขาก็จะคล้อยตาม และต่อต้านมาตรการของรัฐบาลด้วย เมื่อประชาชนเชื่อฝ่ายค้าน ทำตัวเป็นแนวร่วมของฝ่ายค้าน การแก้ไขปัญหาก็ไม่ได้ผล ขาดความร่วมมือจากประชาชนจำนวนหนึ่ง
สื่อมวลชนทั้ง offline และ online ทั้งสื่ออาชีพที่สังกัดองค์กรสื่อ และสื่อปัจเจกที่ทำหน้าที่เสนอข่าวโดยไม่ได้สังกัดองค์กรสื่อ ก็มีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นอันตรายต่อการจัดการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ มีทั้งข่าวลวง ข่าวปลอม ข่าวลือ ข่าวบิดเบือนที่จงใจให้ร้ายรัฐบาลเกือบทุกเรื่อง ทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาการทำงานของรัฐบาล ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ออกมาทำงานเพื่อแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ คนที่ออกมาทำงานที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาล โดนด่าทอต่อว่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายที่เรียกกันว่า “ทัวร์ลง” เจ้าหน้าที่บางคนก็มีความอดทน ทำหน้าที่ของตนต่อไปโดยไม่ย่อท้อ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่บางรายก็ท้อแท้ เพราะพวกเขาทำงานหนัก แต่กลับโดนด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย บางทีเจ้าตัวอาจจะทนได้ แต่ญาติพี่น้องทนไม่ได้ที่จะเห็นคนในครอบครัวถูกด่าสาดเสียเทเสียเป็นหมูเป็นหมา ขอร้องให้คนในครอบครัวยุติบทบาท
นักการเมืองชังชาติที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของบ้านเมืองที่รวมถึงการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ยังคงยุยงส่งเสริมให้มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล บางคนก็อ้างว่ามาทวงคืนประชาธิปไตย มาไล่นายกรัฐมนตรีที่เป็นเผด็จการ แต่ที่จริงแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการแค่ไล่นายกรัฐมนตรี แต่เขาต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้ชุมนุมไม่ได้มาชุมนุมด้วยความสงบสันติที่เป็นสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ พวกเขามีการเผาทำลาย มีการกระทำที่รุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำข้าวของเสียหาย และในความรุนแรงของพวกเขาหลายครั้งจะมีการพาดพิงจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งการใส่ร้ายด้วยข้อความที่เป็นเท็จ และการกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมรูปอนุสาวรีย์ต่างๆ จนประชาชนที่จงรักภักดีใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กฎหมายจัดการกับผู้ชุมนุมอย่างเคร่งครัด
บัดนี้มีการประกาศออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ห้ามไม่ให้มีการชุมนุม เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผู้ที่ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 2 ปี ประกาศที่ออกมาครั้งนี้ ประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ต่างก็อนุโมทนาสาธุ และหวังว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษากฎหมาย จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่กฎหมายดังกล่าวนั้นเริ่มต้นบังคับใช้ ขณะนี้ประชาชนกำลังเฝ้าดูอยู่ว่าจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังตามที่นายกรัฐมนตรีได้ลั่นวาจาให้ประชาชนได้รับรู้หรือไม่ เวลานี้สิ่งที่ประชาชนมองเห็นว่าจะเป็นทางออกให้เราพ้นจากวิกฤติวิด ด้วยการยับยั้งการชุมนุมที่สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง และอาจจะก่อให้เกิดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน ก็คือการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเอาจริง อย่าอ่อนปวกเปียกเหมือนอย่างที่ผ่านมา จนประชาชนที่เป็นแนวร่วมของรัฐบาลเริ่มเบื่อรัฐบาล และกำลังจะหมดความอดทนแล้ว สิ่งที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาก็คือ “ถ้าหากแนวร่วมของรัฐบาลเบื่อรัฐบาลจะเกิดอะไรขึ้น” ในขณะเดียวกันก็ต้องคิดด้วยว่าถ้าหากประชาชนที่จงรักภักดีหมดความอดทนจะเกิดอะไรขึ้น
ประชาชนจำนวนหนึ่งกำลังตั้งคำถามว่ารัฐบาลก็ดี เจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายฝ่ายต่างๆ ก็ดี พวกท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือกับการกระทำที่เหิมเกริม ท้าทายกฎหมายของผู้ชุมนุม ทั้งการกระทำที่รุนแรง การด่าทอต่อว่าด้วยคำหยาบ การปล่อยข่าวเท็จ การบิดเบือนข้อมูล การจาบจ้างล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์หรือว่าท่านเห็นด้วยกับคนพวกนั้น ไม่อยากถูกกล่าวหา ก็จริงจังกับการบังคับใช้กฎหมายหน่อยเถอะค่ะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |