4 ส.ค.64 - นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ สื่อสารมวลชนด้านยานยนต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง ๖๖/๒๓ มีเนื้อหาดังนี้
ข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า เป็นความคิดเห็นที่ไม่มีหลักวิชาการ ไม่มีหลักฐานอะไรมาอ้างอิง ความคิดเห็นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าต่อขานใคร เพราะในช่วงเวลาที่แตกต่าง ในสถานการณ์ที่แตกต่าง คนที่ตัดสินใจย่อมคิดเอาเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นๆ มาเป็นองค์ประกอบสำหรับตัดสินใจ ต่างจากผมที่ใช้เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมานาน มาเป็นองค์ประกอบในการแสดงความคิดเห็นครั้งนี้
เหตุการณ์ในประเทศไทยทุกวันนี้ ที่คนต่างวัยมีความเห็นที่แตกต่างกัน ผู้คนในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา มีความคิดที่ไปกันไม่ได้กับคนสูงวัยส่วนใหญ่ มีนักวิเคราะห์ นักวิชาการ มากมายออกมาแสดงความเห็นกันเอาไว้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีที่มาจากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คราวนี้ผมจะขอแสดงความเห็นของผมบ้าง
ในความเห็นของผมก็คือ มันมีต้นเหตุมาจากคำสั่ง ๖๖/๒๓ อันโด่งดัง ครั้งนั้นประเทศไทยเรามีเหตุการณ์ต่อสู้กัน ทั้งทางความเชื่อและต่อสู้กันด้วยอาวุธ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ มีคนไทยบาดเจ็บล้มตายกันทุกฝ่าย คนที่มีการศึกษากลุ่มหนึ่ง หนีภัยการเมืองเข้าป่า บางคนก็เตลิดไปไกลถึงประเทศอื่น แล้วก็ไปเพาะบ่มเชื้อทางความคิดให้กับชาวบ้านที่ห่างไกล ภายใต้แนวคิดแบบ “ป่าล้อมเมือง” จนกระทั่งมีนักคิดทางการทหาร ได้คิดมาตรการที่เรียกกันว่า ๖๖/๒๓ ขึ้นมา เป็นการเรียกร้องให้ฝ่ายที่ต่อสู้อยู่ในป่า กลับคืนมาเข้าเมืองโดยไม่มีความผิด เพื่อให้กลับมาเป็น “ผู้พัฒนาชาติไทย” ร่วมกัน
คำสั่ง ๖๖/๒๓ ได้ผลดีตรงที่มีคนออกจากป่ากลับเข้าสู่บ้านเมืองมากมาย จนทำให้การต่อสู้ทางอาวุธยุติลงแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การต้อนรับคนกลับจากป่า แม้จะมีการวางแผนเอาไว้ในทางวัตถุ แต่ไม่ได้มีการวางแผนในทางปฏิบัติการจิตวิทยาเอาไว้อย่างจริงจัง มันจึงเป็นการดึงศัตรูที่เคยปฏิบัติการ “ป่าล้อมเมือง” ให้เปลี่ยนแผนยุทธวิธีมาเป็น “ส้องสุมกำลังในเมืองเพื่อล้มเมือง”
โดยจะเห็นได้ว่า นักศึกษา นักวิชาการ นักคิดทางการเมือง นักปลุกระดมทางการเมือง ที่กลับออกมาจากป่า กลับมาส้องสุมกันในมหาวิทยาลัยในฐานะ “ผู้สอน” มาส้องสุมกันในสื่อหลายสำนักในฐานะ “คนเดือนตุลา” ที่เป็นนักคิดนักเขียน หลายคนกลับเข้ามาในฐานะนักการเมืองหัวก้าวหน้า คนกลุ่มนี้กลับจากป่ามาสู่เมือง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา “ปลูกฝังความคิด” เสกเป่าความเชื่อและแนวทางของตนเอง ใส่คนรุ่นใหม่ในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีการศึกษาดีๆสูงๆ
พ่อแม่ที่เป็นคนอายุเท่าเทียมกับคนที่กลับเข้าเมืองและรู้เท่าทัน ก็ยังไม่ได้คิดระแวงอันใด เพราะยังคิดเหมือนกับสมัยที่ตนเองยังศึกษาอยู่ ว่าสถานศึกษาและมหาวิทยาลัยคือที่เพาะบ่มความรู้ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นความรู้พิษที่ถูกเพาะบ่มเอาไว้อย่างเนิ่นนาน ฝ่ายด้านนักการทหารก็คิดว่าศึกนี้สงบราบคาบไปแล้ว เพราะแนวคิด ๖๖/๒๓ ก็มาจากนักคิดฝ่ายทหารเอง จึงปล่อยวางและประมาทต่อ “ศึกในเมือง” ที่ก่อตัวคุกรุ่นอยู่เงียบๆ
วันนี้เมื่อสังคมไทยมีคนรุ่นใหม่ที่ถูกบ่มเพาะจากเชื้อร้าย ของผู้กลับออกมาจากป่าภายใต้คำสั่ง ๖๖/๒๓ มากขึ้น เราจึงเห็นสภาพความคิดของคนในสังคมแตกแยกกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จนยากที่จะประสานได้ และหากต้องการที่จะแก้ไขในระยะยาว ก็คงต้องใช้วิธีการ “กำจัดปลวกด้วยการทำลายรังปลวก” เท่านั้น แต่ทั้งนี้ “แมงเม่า ที่บินออกมาจากรังปลวกเดียวกัน” ก็ต้องทำใจได้ หากว่ารังปลวกจะต้องถูกทำลายไป เพื่อสร้างรังใหม่ที่เข้มแข็งขึ้นมาแทนที่………แค่นี้ละนะ ไปขี้ก่อนนะจ๊ะ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |