2 ส.ค.64 - ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. พร้อมด้วย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงผลการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ในประเทศไทย และการวิเคราะห์สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก โดย นพ.โสภณ กล่าวว่า การปรับมาตรการให้เข้มข้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมโควิด-19 นั้น ศบค.ประกาศเริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 3 ส.ค.64 โดยเพิ่มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จาก 13 จังหวัดเป็น 29 จังหวัด, พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 37 จังหวัดหรือประมาณครึ่งประเทศ และพื้นที่ควบคุม (สีเหลือง) 11 จังหวัด โดยแต่ละพื้นที่มีการยกระดับมาตรการ คือ พื้นที่สีแดงเข้มขอให้เลี่ยงหรืองดเว้นการเดินทางออกนอกเคหสถานนอกที่พักโดยไม่จำเป็น และห้ามออกจากเคหสถานเวลา 21.00-04.00 น. วันรุ่งขึ้น หากทำได้พร้อมเพรียงกัน ก็ลดโอกาสแพร่เชื้อในพื้นที่สาธารณะที่มีการพบกันของผู้คน, งดการให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด และตั้งด่านสกัดระหว่างจังหวัด เพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อข้ามพื้นที่ โดยต้องอาศัยความร่วมมือประชาชนด้วย, ห้ามจัดกิจกรรมรวมกันมากกว่า 5 คน เพราะโอกาสแพร่เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าเร็วขึ้น ติดง่ายขึ้น

นพ.โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ สายพันธุ์เดลต้า 1 คน ติดได้ 8 คน จากเดิมติดได้แค่ 3 คน ถือว่าเชื้อไวรัสเก่งขึ้น 3 เท่า ต้องเข้มงวดลดโอกาสแพร่เชื้อคือ ต้องไม่รวมตัวกัน ลดเสี่ยงด้วยการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ทำอย่างเข้มข้นในช่วงนี้ ส่วนร้านอาหารห้ามบริโภคที่ร้าน ซื้อกลับบ้านไม่เกิน 20.00 น. และงดจำหน่ายสุราในร้าน ห้างสรรพสินค้าเพิ่มความเข้มข้นโดยร้านอาหารในห้างงดการจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป แต่ให้สั่งผ่านเดลิเวอรีได้ จะได้ลดจำนวนคนไปรอหน้าร้าน ส่วนร้านยา เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม โรงเรียน การเล่นกีฬา ปิดทั้งหมด

นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อมูลโมบิลิตี้ ติดตามการเคลื่อนย้ายรถและการเดินเท้า หลังประกาศลดการเดินทางตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้วพบว่ามีแนวโน้มลดลง แต่ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างกรุงเทพฯ และ จ.ชลบุรี ปีที่แล้ว สามารถลดลงได้ 80% กว่า ส่วนปีนี้ทำได้เพียง 70% กว่า ต้องขอความร่วมมือเพื่อให้ความเสี่ยงลดลง เชื้อโรคจะไม่มีที่ไปต่อ ถ้าลดการเดินทาง เชื้อโรคก็ลดโอกาสแพร่เชื้อ

ด้านนพ.โสภณ​ กล่าวถึงวัคซีนว่า วัคซีนเป็นเรื่องสำคัญ​ลำดับต้นๆในเวลานี้สำหรับการป้องกัน​โควิด-19 ซึ่งกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากอยู่ในพื้นที่กทม. และ​ปริมณฑล​เป็นหลัก ตั้งแต่ช่วง 7 มิ.ย.เป็นค้นมา อย่างไรก็ตามมีหลายพื้นที่ที่กำลังเร่งรัดการฉีดวัคซีนด้วย​สถานการณ์​และคำนวณวัคซีน​ที่มีการกระจายไปในพื้นที่ทำให้สามารถดำเนินการได้มากขึ้น ในส่วนของผู้สูงอายุมีการฉีดไปแล้ว 23% ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่ากลุ่มอื่นประมาณ 1 ใน 4

ดังนั้นเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญมากที่ต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีน​ ในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. ผู้สูงอายุในกทม.ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยการจัดลำดับความสำคัญใหม่คือ ให้ผู้​สูงอายุได้เข้าถึงวัคซีนโดยง่ายและสะดวก จึงเป็นเหตุให้ความครอบคลุม​วัคซีนในผู้สูงอายุ ในพื้นที่กทม.เพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงการฉีดเข็มที่ 2 ด้วย ในส่วนของต่างจังหวัด​ทางปลัดกระทรวง​สาธารณสุข​ได้จัดสรร โดยอาศัย​คำแนะนำ​จากคณะกรรมการ​ชุดต่างๆที่มองเห็นว่าการป้องกันผู้สูงอายุ​ในต่างจังหวัด​ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีโอกาส​เสี่ยงที่จะพบการติดเชื้อในพื้นที่ ทำให้ในเดือนส.ค.เราเริ่มมีการกระจายวัคซีนไปในพื้นที่ต่างจังหวัด​เพิ่มขึ้น โดยวัคซีน​ที่ได้ในเดือนนี้จะมีความคล่องตัว มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่าเดือน ก.ค. ประมาณ 10 ล้านโดสขึ้นไป มีทั้งวัคซีนแอสต​ร้า​เซน​เน​ก้า​ ซิโ​นแ​วค​ และไฟเซอร์​

นพ.โสภณ​ กล่าวอีกว่า พื้นที่ที่มีความสำคัญ ในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็น นนทบุรี​ ปทุมธานี​ พระนครศรีอยุธยา​ นครปฐม​ สมุทรสาคร​ โดยมีเปอร์เซ็นต์​การฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุอยู่ในช่วง 20-40 % จังหวัดเหล่านี้ในเดือน ส.ค.จะได้รับวัคซีนมากขึ้น จังหวัดถัดมาคือฉะเชิงเทรา​ ชลบุรี​ สมุทร​ปราการ​ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการระบาดเพิ่ม​ขึ้นในช่วงเดือนก.ค.ทำให้ความเสี่ยงเริ่มเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นวัคซีนที่ไปในทุกสัปดาห์ก็ตกสัปดาห์​ละ 1-2 ล้านโดส ที่เป็นวัคซีนซิโนแ​วค​ และแอสตร้า​เซน​เน​ก้า​ ซึ่งในตอนนี้ทุกกลุ่มอายุเราสามารถฉีดวัคซีนซิโนแวคนำเข็มแรก และแอสตร้า​เซน​เน​ก้า​ เข็มสอง

อีกส่วนคือภาคใต้ในจังหวัด​ตอนล่างทั้ง นราธิวาส​ ปัตตานี​ ยะลา​ สงขลา ซึ่งจังหวัดเหล่านี้มีเปอร์เซ็นต์​การฉีดวัคซีน​ที่ยังต่ำอยู่ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้รับการจัดสรรวัคซีนในเปอร์เซ็นต์​ที่น้อยกว่า แต่ในเมื่อมีสถานการณ์​แพร่ระบาด​เพิ่มขึ้นวัคซีนในช่วงนี้ก็จะมากขึ้น ดังนั้นถือโอกาสที่จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายมากขึ้น โดยใช้เวลา 1-2 เดือน ส่วนกทม.ยังมีการฉีดวัคซีนต่อในเดือนส.ค. แต่จำนวนวัคซีนก็จะน้อยลงประมาณโดยมีประมาณ 1 ล้านโดสที่อยู่ในกทม.