“นายกฯ” ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เพิ่มจังหวัดสีแดงเข้มอีก 16 จังหวัด รวม 29 จังหวัด พร้อมล็อกดาวน์อีก 14 วัน เริ่ม 3-18 ส.ค. หากตัวเลขไม่ดีขึ้นเตรียมลากยาวถึงสิ้นเดือน เปิดช่องร้านค้าเดลิเวอรีในห้างได้หายใจ เลิกคุมแคมป์หันมาใช้ “บับเบิลแอนด์ซีล” แทน ชี้ 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม เวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 11/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ จากบ้านพักในกรมทหารราบที่ 1 รอ.
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้รายงานสถานการณ์การติดเชื้อต่างประเทศที่ยังสูง ซึ่งที่ประชุมได้พูดคุยและหารือเรื่องสถานการณ์ของเชื้อเดลตา ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับว่าน่าเป็นห่วง โดยนายกฯ สั่งให้หาข้อมูลสื่อสารประชาชนอย่าให้ตื่นตระหนก นอกจากนี้ สธ.ยังรายงานพบการระบาดในพื้นที่โรงงานที่กระจายไปสู่ชุมชนค่อนข้างสูง โดยส่วนนี้นายกฯ ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจเข้มข้น เพราะส่วนใหญ่ไม่เข้ามาตรการบับเบิลแอนด์ซีล ที่เป็นการควบคุมการระบาดในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จากนั้น สธ.รายงานจำนวนการครองเตียงของรัฐและเอกชน พบว่ามีการครองเตียงมากกว่า 30,000 เตียงจนเกือบเต็ม จึงจำเป็นต้องเน้นย้ำมาตรการ Home Isolation และ Community Isolation โดยนายกฯ ได้สั่งให้ขยายเตียงรองรับผู้ป่วยและอย่าทำให้ประชาชนตื่นตระหนกว่าไม่มีเตียงรองรับ
นอกจากนี้ สธ.ยังนำเสนอภาพกราฟิกการประเมินสถานการณ์ ถ้าหากมาตรการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพเพียง 20% ตัวเลขผู้ป่วยอาจจะยังมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น แต่หากการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพประมาณ 25% ประกอบกับการเร่งฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุภายใน 1-2 เดือนนี้ จะส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่นายกฯ แสดงความกังวลการชุมนุมทางการเมืองที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ชุมนุม รวมถึงได้ขอให้ทุกจังหวัดร่วมมือกันทำให้มีชุมชน/หมู่บ้านปลอดเชื้อเป็นพื้นที่สีฟ้า ด้วยความร่วมมือกันทุกส่วนในชุมชน อยากให้ช่วยกันสร้างชุมชนสีฟ้าถวาย 12 สิงหาคมนี้
ที่ประชุมยังมีความเห็นแตกต่างระหว่างฝ่ายเศรษฐกิจกับสาธารณสุขในมาตรการบับเบิลแอนซีล ซึ่งถือว่าเป็นหลักการที่ดีแต่ทำลำบาก แต่ต้องยอมเพื่อให้เศรษฐกิจเดินได้ ซึ่งกระทรวงแรงงานเสนอขอวัคซีนไปควบคุมการระบาด นายกฯ จึงขอให้นำข้อสังเกตไปปรับพิจารณาแต่สามารถปฏิบัติได้ โดยขอให้ลดการเคลื่อนย้ายให้มากที่สุด แม้บังคับไม่ได้แต่ต้องดำเนินการด้วยมาตรการเข้มข้น เช่น สื่อสารว่าจะช่วยลดคนป่วย การรักษา และขอให้เวิร์กฟรอมโฮมให้ได้มากที่สุด โดยช่วงท้ายนายกฯ ได้ขอให้ทุกคนรับฟังกัน เปิดใจ และร่วมมือกันแก้ปัญหา ในฐานะนายกฯ ยินดีรับฟังและแก้ปัญหาทุกเรื่อง
เพิ่มจังหวัดสีแดงเข้ม
ต่อมาเวลา 17.00 น. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.แถลงผลประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบปรับระดับพื้นที่ โดยปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จากเดิม 13 จังหวัด ได้แก่ กทม., ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นครปฐม, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา, พระนครศรีอยุธยา, ปัตตานี, ยะลา, สงขลา และนราธิวาส เป็น 29 จังหวัด โดยเพิ่มขึ้น 16 จังหวัด คือ กาญจนบุรี, ตาก, นครนายก, นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ์, ปราจีนบุรี, เพชรบุรี, เพชรบูรณ์, ระยอง, ราชบุรี, ลพบุรี, สิงห์บุรี, สมุทรสงคราม, สระบุรี, สุพรรณบุรี และอ่างทอง ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) ปรับจาก 53 เหลือ 37 จังหวัด ดังนี้ กาฬสินธุ์, กำแพงเพชร, ขอนแก่น, จันทบุรี, ชัยนาท, ชัยภูมิ, ชุมพร, เชียงราย, เชียงใหม่, ตรัง, ตราด, นครศรีธรรมราช, นครสวรรค์, บุรีรัมย์, พัทลุง, พิจิตร, พิษณุโลก, มหาสารคาม, ยโสธร, ระนอง, ร้อยเอ็ด, ลำปาง, ลำพูน, เลย, ศรีสะเกษ, สกลนคร, สตูล, สระแก้ว, สุโขทัย, สุรินทร์, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, อุดรธานี, อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ ขณะที่พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จาก 10 จังหวัด เป็น 11 จังหวัด ดังนี้ กระบี่, นครพนม, น่าน, บึงกาฬ, พะเยา, พังงา, แพร่, ภูเก็ต, มุกดาหาร, แม่ฮ่องสอน และสุราษฎร์ธานี
พญ.อภิสมัยกล่าวว่า มาตรการในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ห้ามออกนอกเคหสถาน 21.00-04.00 น. งดให้บริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด การตั้งด่านตรวจสกัดระหว่างเขตจังหวัด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 5 คน ห้ามบริโภคภายในร้าน ขายได้แบบนำไปบริโภคที่อื่น งดการจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน โดยเปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. ส่วนห้างสรรพสินค้าเปิดบริการได้เฉพาะร้านอาหาร/เครื่องดื่มผ่านเดลิเวอรีเท่านั้น ร้านยา/เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. ปิดร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม ห้ามใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก ปิดสถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬา นอกจากนี้ ขอให้มีการเวิร์กฟรอมโฮมขั้นสูงสุด ถ้าเป็นไปได้ให้ 100% ทั้งภาครัฐและเอกชน
ส่วนมาตรการพื้นที่สีแดง ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัดเพื่อตรวจคัดกรองการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 20 คน บริโภคในร้านได้ เปิดได้ไม่เกิน 23.00 น. แต่งดจำหน่ายและงดการดื่มสุราในร้าน ส่วนห้างสรรพสินค้าเปิดบริการได้ตามเวลาปกติ โดยจำกัดจำนวนคน งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดบริการได้ตามปกติ ให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมากโดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬาเปิดบริการได้ทุกประเภทไม่เกิน 21.00 น. จัดการแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม
พญ.อภิสมัยกล่าวว่า ส่วนมาตรการพื้นที่สีส้มไม่จำกัดการเดินทาง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 50 คน บริโภคในร้านได้ เปิดได้ตามปกติ แต่งดจำหน่ายและงดดื่มสุราในร้าน ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการได้ตามเวลาปกติ แต่ปิดในส่วนของเครื่องเล่นเกม สวนสนุก ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงามเปิดบริการได้ตามปกติ ให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อจัดการเรียนการสอนได้ตามปกติภายใต้มาตรการป้องกันโรค สถานที่เล่นกีฬาหรือแข่งขันกีฬาเปิดบริการได้ตามปกติ ทุกประเภทจัดการแข่งขันได้
ไม่ดีขึ้นยืดถึงสิ้นเดือน
“ข้อกำหนดเหล่านี้จะเริ่มบังคับใช้วันที่ 3 ส.ค.-18 ส.ค. จากนั้นจะมีการพิจารณาทบทวน หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นสามารถยืดไปถึง 31 ส.ค. หรือหากกิจกรรมใดที่เริ่มดีจะมีการผ่อนคลายมาตรการได้ โดยข้อกำหนดดังกล่าวจะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็วที่สุด และจะนำมาชี้แจงรายละเอียดต่อไป”
พญ.อภิสมัยกล่าวอีกว่า มาตรการบับเบิลแอนด์ซีลเป็นการเน้นย้ำพื้นที่ 16 จังหวัดสีแดงเข้มที่เพิ่มเข้ามา เนื่องจากกรมควบคุมโรครายงานถึงสถานการณ์ว่าจำกัดวงอยู่ในโรงงานขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ที่มีบุคลากรเกิน 500 ราย เพื่อควบคุมโรค โดยเน้นย้ำไม่เฉพาะพื้นที่โรงงานหรือแคมป์ที่แพร่ระบาดเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปถึงบริษัท โรงงาน แคมป์ที่ยังไม่มีการติดเชื้อด้วย ต้องทำมาตรการนี้เช่นกัน หลักการของบับเบิลแอนด์ซีล กรมควบคุมโรคได้ออกคู่มือเป็นข้อปฏิบัติให้ทุกจังหวัดศึกษารายละเอียด โดยเน้นย้ำจัดกลุ่ม คุมไว ลดแพร่กระจาย รายได้ไม่สูญเสีย โดยที่ประชุม ศบค.ตระหนักถึงความสำคัญของแรงงานและสถานประกอบการ เนื่องจากมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยการออกมาตรการนี้จะปรับให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพ ในขณะที่เศรษฐกิจยังไปพร้อมกันได้ด้วย และก่อนจะประกาศมาตรการนี้ได้หารือกับทุกภาคส่วน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย จังหวัด และภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม และหอการค้าในพื้นที่ได้พยายามจะปรับมาตรการให้เป็นไปได้มากที่สุดเพื่อให้การปฏิบัติเกิดผล”
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายกฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าใน 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ซึ่งทั่วโลกมีทิศทางการแพร่ระบาดรุนแรงและเพิ่มมากขึ้น ศบค.จึงเร่งดำเนินการในขณะนี้ ทั้งการยกระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร และปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งนายกฯ มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนและสถานการณ์การแพร่ระบาดในขณะนี้มาก จึงสั่งให้ ศบค.มีทั้งมาตรการเชิงรุกและเชิงรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทุกวัน พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานต้องเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจถึงความจำเป็นที่ทุกคนยังต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข DMHTT เพื่อลดโอกาสแพร่หรือติดเชื้อ
“ขณะเดียวกันก็ฝากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย แสดงแผนที่จังหวัดให้มีพื้นที่สีฟ้าทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งบางจังหวัดไม่ใช่พื้นที่สีแดงทั้งจังหวัด ยังมีพื้นที่ปลอดภัยหรือพื้นที่สีฟ้า สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือของประชาชนในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ทั่วประเทศในทุกจังหวัด โอกาสนี้นายกฯ ยังห่วงใยเจ้าหน้าที่ด่านหน้าผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งอาสาสมัคร จิตอาสา ย้ำต้องจัดให้มีอุปกรณ์เพื่อป้องกันการปฏิบัติหน้าที่ด้วย พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ด้วย”.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |