จากรัฐบาลสู่ชุมชนพอเพียง 


เพิ่มเพื่อน    

คงแทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ สังเคราะห์ อะไรต่อไปอีกแล้ว...สำหรับฉากสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ในช่วงหลังๆ นี้ เพราะออกจะหนักหนา-สาหัสกันในระดับทั่วทั้งโลกนั่นแหละทั่น!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮาเท่านั้น ความผิดๆพลาดๆ ความไม่รู้เท่า-รู้ทัน มันจึงต้องถือเป็นเรื่องปกติและธรรมดา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...
               -------------------------------
    อย่างคุณพ่ออเมริกา...หรือระดับหน่วยงานศูนย์ควบคุม-ป้องกันโรค อย่าง CDC ที่เคยออกมาชี้แนะ ชี้นำ บรรดาอเมริกันชนที่ผ่านการฉีด วัคซีนเทพ อย่างไฟเซอร์ โมเดอร์นา ไปแล้วเข็มแรก เข็มสอง หรือกระทั่งเข็มสามก็ตาม ว่าไม่จำเป็นต้อง สวมหน้ากาก ต้อง เว้นระยะห่าง อีกต่อไปแล้ว สามารถพันพัว นัวเนีย ชิตๆ แชตๆ กันได้ตามสบาย แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง เมื่อเจอกับการปรับตัว ปรับสภาพ ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสายพันธุ์ธรรมดา ไปเป็นสายพันธุ์เดลตา เลยหนีไม่พ้นต้องพลิกลิ้น พลิกลำ ต้องตีลังกากลับประมาณ 360 องศา ต้องหันมาชี้แนะ ชี้นำ ให้ใครต่อใครเร่งสวมหน้ากากระดับ 2 ชั้น 3 ชั้น ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน ในอาคารสถานที่ และส่งผลให้ผู้บริหารกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ต้องหันมาออกคำสั่ง ออกมาตรการดังกล่าว ไปเมื่อช่วงวันเสาร์ที่แล้ว...
--------------------------------
    ด้วยเหตุเพราะจำนวนตัวเลข ผู้ติดเชื้อ ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอเมริกา ล้วนแล้วแต่เคยฉีด  วัคซีนเทพ ที่ว่าไปแล้วด้วยกันทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าจะฉีดแล้ว ฉีดอีก ฉีดเท่าไหร่ แบบไหน ก็ยังดัน เอาไม่อยู่ ซะดื้อๆ ความหวัง ความปรารถนาและต้องการ ที่จะอาศัยจำนวน ปริมาณ ของผู้ฉีดวัคซีนไปแล้ว ไม่ว่าระดับ 40-50-60 หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปที่เคยเชื่อๆ ว่าอาจก่อให้เกิด ภูมิคุ้มกันหมู่ จนสามารถไปไหนต่อไปไหนได้ตามปกติ สามารถกลับไปเที่ยวคลับ เที่ยวบาร์ พ่นละอองเรณูเกสรใส่ใครต่อใครได้โดยอิสระและเสรี อันจะช่วยให้เกิดการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ หวนกลับมาสู่จุดเดิมๆ ได้อีกภายในไม่นาน-ไม่ช้า ไปๆ-มาๆ...ดูๆ มันชักจะไม่เป็นไปตามที่หวัง ที่คาด ได้มากมายซักเท่าไหร่...
       --------------------------------
    หรือพูดง่ายๆ ว่า...โอกาสที่จะ อดตาย ไปพร้อมๆ กับ ป่วยตาย มันชักมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที โดยเฉพาะสำหรับโลกทั้งใบนั่นแหละทั่น ไม่ใช่แต่เฉพาะไทยแลนด์ แดนสยาม แต่เพียงเท่านั้น เพราะขนาด เศรษฐกิจจีน ที่แทบไม่ต้องกลัว ป่วยตาย กันอีกต่อไปแล้ว ด้วยอำนาจเผด็จการของคอมมิวนิสต์ ที่สามารถ เจ็บแล้วจบ ได้อย่างสวยสด-งดงามมาตั้งแต่แรก แต่ถึงแม้จะ จบ ทุกสิ่งทุกอย่างแบบแฮปปี้เอนดิ้งพอสมควร แต่โอกาสจะส่งสินค้า เมด อิน ไชน่า ไปตีตลาด ไปขายใครต่อใครในโลกใบนี้ ก็กลับเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ เพราะผู้คนทั่วโลกยังคง เจ็บแล้วไม่จบ โดยแทบไม่รู้ว่าจะจบกันตอนไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร นั่นเอง...
           ------------------------------
    การตัดสินใจลดปริมาณเงินทุนสำรองของธนาคารต่างๆ โดยธนาคารกลางของจีนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ จนพอมีเงินติดไม้-ติดมือนับเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อไว้อัดฉีด เอาไว้กระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ชักเริ่มออกอาการ โตช้า หรือไม่ถึงกับโตแบบโตโยต้า ได้แบบช่วงเศรษฐกิจไตรมาสแรก จึงถือเป็นการ ส่งสัญญาณ ว่าแนวโน้มของการ อดตาย ในระดับทั่วทั้งโลกนั้น อาจหนักหน่วง รุนแรง ไม่น้อยไปกว่าการ ป่วยตาย ที่ยังหามุมจบ หาจุดจบ กันไม่เจอจนตราบเท่าทุกวันนี้ ภาวะเงินเฟ้อ ภาวการณ์ขาดแคลนสินค้าอาหาร ที่กำลังเริ่มแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้รัฐบาลในแต่ละประเทศ ยิ่งต้อง บวดหัว ชนิด ยาบวดหาย ใดๆ ก็เอาไม่อยู่ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
                        -----------------------
    ส่วนรัฐบาลของท่านนายกฯ บิ๊กตู่...นะจ๊ะ-นะจ๊ะ ก็แทบไม่ต้องพูดถึง!!! เพราะไม่เพียงแต่ต้องเจอกับความ บวดหัว ในเรื่องการ ป่วยตาย และ อดตาย เท่านั้น ยังต้องเจอกับการ ด่าตาย คือด่ากันชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เพิ่มรอบดึก รอบเที่ยงคืน ไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ วันทำงาน-ไม่ทำงาน ฯลฯ จนแทบไม่เหลือเศษซาก ไม่เหลือชิ้นส่วนอวัยวะส่วนหนึ่ง-ส่วนใดของร่างกาย ที่จะทำหน้าที่ได้ครบถ้วน สมบูรณ์ เหมือนแต่ก่อน เรียกว่า...แม้ยังไม่ถึงกับ ตาย แต่โอกาสที่จะ เลี้ยงให้โต ต่อไปภายในอนาคตเบื้องหน้านั้น ออกจะเป็นไปไม่ได้เอาเลยก็ว่าได้...
                        -------------------------
    ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้การหันมา อัตตาหิ อัตโนนาโถ หรือการหันมา พึ่งตนเอง ไม่ว่าของปัจเจกบุคคล ชุมชน สังคมในแต่ละระดับ ย่อมถือเป็นทางออก ทางรอด ทางไป ที่น่าจะเหมาะสม สอดคล้องที่สุด การหันมาร่วมมือ-ร่วมใจ กันในแต่ละระดับ อาศัย ความพอเพียง ในแต่ละด้านประคับประคองตัวเองให้พออยู่รอด ปลอดภัย ไม่ว่าในแง่การ ป่วยตาย หรือการ อดตาย ก็แล้วแต่ และพร้อมที่จะใช้ส่วนที่เหลือๆ ส่วนที่  เกินพอ ช่วยเหลือ เจือจาน เยียวยาผู้คนรอบข้างในแต่ลักษณะ อย่างน้อย...ก็อาจพอช่วยให้สายใยแห่งความเอื้ออาทร ความห่วงใยซึ่งกันและกัน อันถือเป็นลักษณะพิเศษของ ความเป็นไทย พอได้เกิดการถักทอ บูรณาการ จนอาจกลายเป็น เครือข่ายป้องกันทางสังคม หรือเกิดการ พึ่งตนเอง กันในระดับชุมชน สังคม กลายเป็น สังคมแห่งพอเพียง โดยไม่จำเป็นต้องหันไปพึ่งรัฐ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
        ----------------------------------------
    และถ้าหากมันเป็นไปตามนั้น...เกิดอุบัติการณ์นั้นๆ ขึ้นมาจริงๆ แล้วละก็  แทบไม่ต้องเสียเวลาไป ด่า หรือไป เชียร์ ใครต่อใครให้ต้องมากเรื่อง มากความ แต่อย่างใด อีกทั้งไม่ว่าจะต้องเจอกับการ ป่วยตาย หรือ อดตาย อีกมากน้อยขนาดไหน แต่ภายใต้ ความพอเพียง ที่มีความพอเหมาะ พอดี มีเหตุ-มีผล มีคุณธรรม ศีลธรรม เป็นเครื่องรองรับเอาไว้แต่แรก โอกาสที่บุคคล ชุมชน สังคมแต่ละสังคม จะอยู่รอดปลอดภัย นับจากนี้ไปจนอนาคตเบื้องหน้า ก็ยังพอมีความเป็นไปได้มากกว่าการ นั่งด่าบิ๊กตู่ ไปวันๆ ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
                                                              ------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Epictetus (อีกครั้ง...และอีกครั้ง)... “Fortify yourself with contentment, for this an impregnable fortress. -  จงสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวท่านเองด้วยความสันโดษ (พอเพียง) เพราะนี่คือป้อมปราการที่มิมีผู้ใดจะตีแตก...”.
                                                               -------------------------------------------------------------
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"