ว่าด้วยความสามารถในการเผชิญความเปลี่ยนแปลง


เพิ่มเพื่อน    

 

                                                                             (1)

ความคุ้นเคย เคยชิน กับการ เว้นระยะห่างทางสังคม กับใครต่อใครเขามาร่วมๆ 2-3 ทศวรรษ จนกลายเป็นสิ่ง ปกติ และ ธรรมดา ไปแล้ว มันก็ออกจะมีประโยชน์อีตรงนี้ ช่วงนี้ นั่นแหละทั่น!!! หรือช่วงที่ท่านเชื้อไว้รัสโควิด-19 ไม่ว่าสายพันธุ์เดิมๆ ในช่วงแรกๆ และสายพันธุ์เดลตาช่วงหลังๆ ท่านออกฤทธิ์ ออกเดช ออกอาละวาด มาร่วมปี-สองปีเข้าไปแล้ว แต่ก็แทบไม่ได้ส่งผลให้ต้องเกิดความรู้สึกสับสน วุ่นวาย ระส่ำระสาย เหมือนอย่างใครต่อใครเขามากมายซักเท่าไหร่นัก...

                                                                              (2)

            พูดง่ายๆ ว่า...เพราะดันหมกตัวเองอยู่ใน ถ้ำ มาจนชินซะแล้ว ความโกลาหล อลหม่าน ที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตา ไม่ว่าในระดับบ้านเรา หรือระดับโลกทั้งโลก มันจึงคล้ายๆ  กระแสน้ำ ที่ไหลไป-ไหลมาอยู่เบื้องหน้า ขณะหรือระหว่างที่... ฉันนั่งตกปลาอยู่ริมตลิ่ง...แปลกใจเสียจริงปลาไม่กินเหยื่อ...ฮึ้มฮึม-ฮึ้มหึ่ม อะไรประมาณนั้น คือด้วยเหตุที่ไม่ถึงกับต้องลากเอาตัวของตัวเองไปผูกโยง เกี่ยวพัน นุงนัง นัวเนีย อยู่กับอะไรต่อมิอะไรที่จำต้องไหลไป-ไหลมาตามความเป็นไปของ ธรรมชาติ แบบใกล้ชิด ติดพัน สนิทแนบแน่นจนเกินไป สิ่งที่เรียกว่า ความห่าง หรือ ระยะห่าง ดังกล่าว มันจึงพอช่วยให้ไม่ถึงกับต้องสับสน อลหม่าน ตามไปด้วย หรือตามลักษณะทางธรรมชาติ ไปด้วยประการละฉะนี้...

                                                                               (3)

            คืออาจคล้ายๆ กับที่ชาวอินตะระเดียยุคโบร่ำ-โบราณ ท่านจัดกลุ่ม จัดประเภท ของบุคคลต่างๆ เอาไว้ประมาณ 4 กลุ่ม 4 ประเภท แบบที่เรียกว่า อาศรม 4 อะไรประมาณนั้น หรือถ้าหากยังคงอยู่ในช่วงหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ วัยฉะ-กัน (ฉกรรจ์) หรือช่วงที่เรียกๆ ว่า พรหมจรรย์ ช่วงที่ยังคงต้อง เรียนรู้ อะไรต่อมิอะไรกันไปตามสภาพ ป่านนี้...เผลอๆ อาจต้องกลายสภาพตัวเองไปเป็น ณวัฒน์ หิวแสง เอาง่ายๆ ก็ไม่แน่!!! เมื่อต้องเจอกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิดไม่ว่าสายพันธุ์เดิม หรือสายพันธุ์ใหม่ๆ ก็แล้วแต่ เพราะด้วยความที่หนีไม่พ้นต้องไปคลุกๆ คลีๆ นุงนัง นัวเนีย อยู่กับความเป็นไปต่างๆ ตาม “กระแส” ที่ย่อมมีทั้ง บวก และ ลบ มี ขาว มี ดำ มี มืด มี สว่าง ไปตามลักษณะทางธรรมชาตินั่นแหละ โอกาสที่จะเกิดการหยิบเอาอะไรต่อมิอะไรมา Concoct มา ปรุงแต่ง กับ อารมณ์-ความรู้สึก ของตัวเอง จนอาจเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวด่าโน่น ด่านี่ ท้าโน่น ท้านี่ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้มิใช่น้อย...

                                                                                 (4)

            แม้ขณะที่ยังอยู่ในช่วง คฤหัสถ์ หรือ ผู้ครองเรือน ตามแบบฉบับของ อาศรม 4 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถประคับประคองตัวเองให้อยู่รอด ปลอดภัย ได้ง่ายๆ เมื่อต้องเจอกับฉากสถานการณ์หนักหนา-สาหัสกันถึงระดับนี้ เพราะแม้จะมีขีดความสามารถการป้องกันตัวเองไม่ให้ ป่วยตาย ด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ หรือกระทั่งสามารถ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็มสามได้แบบพวก ตำรวจบุรีรัมย์ ก็เถอะ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถผ่านพ้นไปจากภาวการณ์ อดตาย ที่กำลังคืบคลานเข้ามาเยือนใครต่อใครในระดับสังคม ประเทศ หรือในระดับโลกทั้งโลก ชนิดอาจต้อง เจ๊ง ระเนระนาดกันไปเป็นแถบๆ ได้เสมอๆ ความวุ่นวาย สับสน อลหม่าน มันเลยเป็นสิ่งที่คงหนีไม่พ้นต้องเข้ามากระทบต่อ ผัสสะ ต่ออารมณ์-ความรู้สึกต่างๆ มากบ้าง-น้อยบ้าง ไปตามสภาพ...

                                                                                (5)

            ยิ่งบรรดาผู้ที่ อยู่นาน หรือ อยู่ยาวว์ว์ว์ แล้ว...เผลอๆ อาจต้องหันมาเลือกช่อง เลือกทาง แปรสภาพตัวเองไปเป็นพวก วานปรัสถ์ หรือ ผู้ที่ออกจาริก เอาเลยก็เป็นได้ จะโดยกรรมวิธีจาริกแบบ กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน หรือแบบใดๆ ก็แล้วแต่เพื่ออาจพอช่วยให้อารมณ์-ความรู้สึกต่างๆ มันสงบๆ นิ่งๆ ลงมาได้มั่ง ไม่ต้องไป Concoct ไม่ต้องไป ปรุงแต่ง กับอะไรต่อมิอะไร จนอาจถึงขั้นต้องปรารภ รำพึง ออกมาดังๆ ว่า พวกคุณ...จะทิ้งผมก็ตามใจ ทำนองนั้น เพราะยิ่งต้องเข้าไปยุ่ง ยิ่งต้องเข้าไปพันพัว นัวเนีย ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ โอกาสที่จะสงบนิ่ง สงบเย็น สว่าง และสะอาด มันย่อมเป็นไปได้ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ เนื่องจากภายใต้ กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นเอง เป็นพรรค์นั้นแหละ เป็น ตถตา หรือ ตถาตา ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

                                                                                  (6)

            ดังนั้น...ก็คงเหลืออยู่แต่พวก สันยาสี หรือ ผู้ละทิ้งแล้วซึ่งทางโลกย์ อะไรประมาณนั้น ที่อาจพอได้สงบนิ่ง สงบเย็น พอได้ ฉันนั่งตกปลา...อยู่ริมตลิ่ง หรือยังพอ ฮึ้มฮึม-ฮึ้มหึ่ม ต่อไปได้มั่ง ไม่งั้น...คงหนีไม่พ้นต้อง บวดหัว ระดับ ยาบวดหาย ก็เอาไม่อยู่ หนีไม่พ้นต้องสับสน วุ่นวาย โกลาหล อลหม่าน ไปตามสภาพ การดำรงตนเป็น สันยาสี หรือการ เว้นระยะห่างทางสังคม กับใครต่อใครมาร่วม 2-3 ทศวรรษ มันจึงกลายเป็นประโยชน์อีตรงนี้ ตรงช่วงนี้ อย่างที่ว่าเอาไว้แล้ว แต่ก็นั่นแหละ...แม้จะพอได้นิ่ง พอได้เย็น อยู่พอประมาณ แต่ก็ด้วยเหตุเพราะ...ยังไม่อาจ ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไปได้โดยสิ้นเชิง เลยยังอดห่วง อดกังวล ต่อสิ่งที่เคยเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และอาจมีอันต้องดับไป ต้องเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นมามิได้!!!

                                                                                  (7)

            ด้วยเหตุนี้...จึงได้แต่ขอฝากคำพูด คำจา เอาไว้เป็นอนุสสติ เป็นอุทาหรณ์ ต่อบรรดาผู้ที่ยังคงต้องพันพัว นัวเนีย ผู้ที่ยังมิอาจ อตัมมยตา มิอาจ กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย ได้แบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ด้วยคำพูดของนักคิด-นักปราชญ์ ที่ท่านพูดๆ ไว้หลังจากที่น่าจะได้ ปลีกวิเวก มาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วนั่นแหละว่า... What’s lasting is not what resists time, but what wisely changes with it. หรือ สิ่งที่อยู่ยั้ง ยืนยงนั้น...หาใช่คือสิ่งที่สามารถต้านทานกาลเวลาก็หาไม่ แต่เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเข้ากับกาลเวลาได้อย่างชาญฉลาด...

                                                               -----------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"