ถ้าหากเงื่อนไขของการต่อสู้กับภัยพิบัติที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 คือ 1) ความเป็นเอกภาพของคนในชาติ 2) การร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อรวมพลังกันต่อสู้อย่างปราศจากความขัดแย้ง 3) ความมีวินัยของคนในชาติที่จะปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. ให้คำแนะนำ และยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายที่ประกาศใช้ในช่วงเวลาของวิกฤตินี้ 4) การสื่อสารของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่สร้างความสับสนให้ประชาชน 5) การสื่อสารของภาคประชาชนทั้งสื่อสารมวลชน และปัจเจกทั้งหลายไม่สร้างข่าวลวง ไม่ทำลายศรัทธาวิธีการ มาตรการ และเวชภัณฑ์ทั้งหลายที่ใช้ในการดูแลรักษาคนไข้ รวมทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาฉีดให้กับประชาชน และ 6) การขับเคลื่อนการต่อสู้ต้องมีลักษณะเป็น Bipartisan movement หมายถึงการขับเคลื่อนที่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมมือกัน ไม่นำเอาเรื่องของการจัดการกับโรคระบาดครั้งนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง
ข้อแรก เป็นไปไม่ได้เลย เราไม่มีความเป็นเอกภาพของคนในชาติ ประเทศไทยอยู่ในสภาพของความแตกแยกที่ยากเกินกว่าที่จะก่อให้เกิดความปรองดอง แม้ในยามวิกฤติเช่นนี้ เราก็ยังเห็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาล เราก็ยังได้เห็นการด่าทอต่อว่ากันด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย เรายังได้เห็นการเรียกร้องให้คนดังที่มีอิทธิพลทางความคิดให้ออกมาแสดงความคิดเห็น แต่พอออกมาแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับที่ตนเองต้องการก็จะเข้าไปด่าเขาสาดเสียเทเสียที่เราเรียกว่า “ทัวร์ลง” จนทำให้หลายคนต้องล่าถอยออกจากการแสดงความคิดเห็น ทำให้ประชาชนเห็นการด่ารัฐบาล การด่าคนที่เห็นด้วยกับการทำงานของรัฐบาลเต็มพื้นที่ของสื่อสังคมออนไลน์ ที่ทำลายขวัญของฝ่ายที่อยากเห็นการแก้ไขที่เป็นเอกภาพ การที่เราขาดเอกภาพเช่นนี้ก็ยากที่เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้
ข้อที่สอง เมื่อเราไม่มีความเป็นเอกภาพดังเงื่อนไขข้อแรกแล้ว แล้วเราจะได้การร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อรวมพลังกันต่อสู้อย่างปราศจากความขัดแย้งได้อย่างไร เราจะได้เห็นความไม่เป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงานราชการ ความไม่เป็นเอกภาพระหว่างหมอด้วยกันเอง จนประชาชนไม่รู้จะเชื่อใครดี เราได้เห็นความไม่เป็นเอกภาพระหว่างโรงพยาบาลกับกระทรวงสาธารณสุข ความไม่เป็นเอกภาพระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับ กทม. ความไม่เป็นเอกภาพของนักการเมือง ไม่เพียงแต่นักการเมืองฝ่ายค้านบางคนที่จ้องเล่นงานรัฐบาล แม้แต่นักการเมืองในซีกรัฐบาลเองก็ยังออกมาแสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับการทำงานของรัฐบาลเสียเอง แทนที่จะมีการพูดกันเองภายใน แต่ชอบออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านการทำงานของรัฐบาลผ่านสื่อ อย่างที่เราเรียกว่า “หิวแสง” ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ที่ไม่มีทางยอมรับทุกการกระทำของรัฐบาล
ข้อที่สาม เรื่องความมีวินัยของในชาติที่จะปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.ให้คำแนะนำ และยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายที่ประกาศใช้ในช่วงเวลาของวิกฤตินี้ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้เลย บางคนใช้คำว่า “ขอความร่วมมือ” ก็จะไม่ให้ บางคนแม้ประกาศเป็นกฎหมาย มีบทลงโทษ พวกเขาก็ไม่กลัว ยังมีคนจัดงานเลี้ยง ยังมีคนตั้งวงกินเหล้า ยังมีคนตั้งวงเล่นการพนัน ยังมีคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไม่ยอมกักตัว ยังมีคนที่ไม่พยายามที่จะลดการออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น ยังมีคนที่ไม่ใส่หน้ากาก ยังมีคนที่ไปไหนมาไหน ไม่ยอมเว้นระยะห่าง ทั้งหมดนี้ทำให้จำนวนคนที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการเพิ่มแบบเป็น Cluster ที่มีคนจำนวนมากในแต่ละ Cluster ทำให้ตัวเลขขึ้นหลักหมื่น และหากทางการพูดถึงคนพวกนี้ก็จะมีคนออกมาต่อว่ารัฐบาลว่าโทษประชาชน ไม่โทษตนเอง ทั้งๆ ที่ประชาชนปฏิบัติตนอย่างไม่มีวินัย
ข้อที่สี่ การสื่อสารของภาครัฐที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สร้างความสับสนให้ประชาชน หลายฝ่ายที่ออกมาพูดก็พูดไม่ตรงกัน จนประชาชนสับสนไม่รู้ว่าจะเชื่อใคร เวลามีคนปล่อยข่าวลวง บิดเบือนความจริงก็ชี้แจงล่าช้า หรือบางทีก็ไม่มีการชี้แจงเลย หมอใน ศบค.ก็พูดอย่างหนึ่ง หมอนอก ศบค. หลายๆ คนก็พูดอีกอย่างหนึ่ง แย้งกับหมอใน ศบค. แล้วจะให้ประชาชนเชื่อใคร บางครั้งก็มีเอกสารที่ไม่ควรหลุดออกมาสู่สาธารณะ แต่ก็หลุดออกมาได้ การนำเอาข้ออภิปรายถกเถียงกันในที่ประชุมก่อนจะเป็นมติ ไม่ควรนำเสนอต่อสาธารณชน แต่ก็มีออกมาหลายครั้ง แสดงว่ารัฐบาลนี้อยู่ในสภาพเกลือที่มีหนอน มีคนที่อยู่ในคณะทำงานที่ไม่ชอบรัฐบาล และพร้อมจะร่วมมือกับฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลเพื่อล้มรัฐบาลอยู่ด้วย
ข้อที่ห้า การสื่อสารของภาคประชาชนทั้งสื่อสารมวลชนที่เป็นองค์กร และปัจเจกทั้งหลายยังมีการสร้างข่าวลวง ยังมีความพยายามที่จะทำลายศรัทธาวิธีการ มาตรการ และเวชภัณฑ์ทั้งหลายที่ใช้ในการดูแลรักษาคนไข้ ที่สำคัญก็คือการด้อยค่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาฉีดให้กับประชาชน จนทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ต้องการที่จะฉีดวัคซีน ทำให้เราไม่สามารถที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อเปิดประเทศกลับไปทำมาหากินกันเป็นปกติ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ เหมือนมีความจงใจที่จะให้รัฐบาลล้มเหลวทั้งการแก้ปัญหาโควิด และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เวลานี้เราจะพบว่ามีข่าวลวงเต็มหน้าจอโทรทัศน์ เต็มหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์บางฉบับ และเต็มพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ มีทั้งคนที่ไม่รู้จริง และมีทั้งคนที่รู้จริง แต่จงใจที่จะบิดเบือนเพื่อทำลายรัฐบาล
ข้อที่หก การขับเคลื่อนการต่อสู้ในเวลานี้ไม่มีลักษณะเป็น Bipartisan movement การขับเคลื่อนที่ดำเนินอยู่เวลานี้เป็นความพยายามของฝ่ายรัฐบาลแต่เพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายค้านไม่ได้ร่วมมือด้วยเลย มีแต่จะนำเอาเรื่องของการจัดการกับโรคระบาดครั้งนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง แย้งรัฐบาลไปทุกเรื่อง ด่ารัฐบาลตลอดเวลา และในการด่ารัฐบาลนั้นก็จะจบลงด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก โดยสรุปว่ารัฐบาลล้มเหลว ไม่มีความสามารถในการจัดการกับวิกฤติครั้งนี้ได้ การกระทำดังกล่าวนี้เชื่อว่าเป็นความต้องการทางการเมือง คือล้มรัฐบาลให้มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ในเวลานี้หากเราติดตามการทำงานของฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล เราไม่ได้เห็นความพยายามใดๆ ที่พวกเขาจะทำงานเพื่อช่วยให้ประชาชนและประเทศชาติผ่านพ้นจากวิกฤตินี้ เราจะเห็นแต่ความพยายามที่จะล้มรัฐบาลให้ได้ อยากถามว่า มันใช่เวลาหรือเปล่า
จากทุกข้อข้างต้นที่ผ่านมา เราแทบจะสิ้นหวังว่า แล้วเราจะผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างไร สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อให้เราเปิดประเทศฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างไร ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลคงดีใจสินะที่รัฐบาลล้มเหลวในการจัดการกับโควิด และไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ เพราะความล้มเหลวดังกล่าวนั้นจะเป็นประเด็นที่เขานำมาใช้ไล่รัฐบาล และเชิญชวนให้ประชาชนช่วยไล่รัฐบาล จำนวนคนตายที่เพิ่มขึ้น พวกเขากล่าวหาว่ารัฐบาลฆาตกร ชวนคนมาฟ้องรัฐบาล เพื่อไล่รัฐบาล ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็สิ้นหวังนะคะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |