30 ก.ค.64 - ที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรุงเทพมหานคร นายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แถลงข่าวผ่านระบบซูม ว่า ขอแจ้งข่าวดีแก่ทุกคนว่าวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่สหรัฐฯบริจาคให้ ได้มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเช้าวันนี้ (30 ก.ค.) เวลา 04.00 น. ตนมีความยินดีที่จะยืนยันว่าสหรัฐฯมีเป้าหมายที่จะบริจาควัคซีนเพิ่มอีก 1 ล้านโดสให้กับประเทศไทยนอกจากวัคซีนที่มาถึงแล้วในวันนี้ รวมทั้งหมดเป็นจำนวน 2.5 ล้านโดส เนื่องจากเราได้เห็นถึงการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในไทย รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ของไทยกำลังเผชิญความยากลำบากในขณะนี้ สำหรับวัคซีนที่เราจะให้เพิ่ม 1 ล้านโดสนั้น ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นของยี่ห้อใด
นายไมเคิล ฮีธ กล่าวว่า เรามีความภูมิใจที่จะบริจาควัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตามคำสัญญาของรัฐบาลของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการช่วยพันธมิตรของเราต่อสู้กับโรคโควิด-19 รัฐบาลสหรัฐฯประกาศว่าจะแบ่งปันวัคซีน 80 ล้านโดสเพื่อช่วยหยุดโรคระบาดใหญ่ของโลกในครั้งนี้ ซึ่งรวมถึง 23 ล้านโดส ให้กับสำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับสิ่งที่สหรัฐฯมอบให้กับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านของไทยจะช่วยให้ประเทศไทยและภูมิภาคนี้เร่งฉีดวัคซีนเพื่อให้ประชาชนของตัวเองมีความปลอดภัย และฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
“การมอบวัคซีนของเราเป็นการให้เปล่า ไม่มีเงื่อนไข โดยมีวัตถุประสงค์หนึ่งเดียวเท่านั้น คือการช่วยชีวิตผู้คนและมีความตระหนักว่าไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย เราจึงยินดีแจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะกระจายวัคซีนเหล่านี้อย่างเป็นธรรมให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกคน รวมถึงมุ่งเน้นการจัดสรรวัคซีนให้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด ขอแสดงความชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครสาธารณสุขของไทยที่ทำงาน เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 สหรัฐฯเป็นหุ้นส่วนทางสาธารณสุขของไทยมานานมากกว่า 60 ปี สหรัฐฯภูมิใจที่ได้ช่วยประเทศไทยต่อสู้กับโรคระบาดความร่วมมือระหว่างเราช่วยชีวิตคนไทยได้แล้วมากมาย เราจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับประเทศไทยและคนไทยตลอดไป ส่วนการที่ประเทศไทยประกาศว่าได้ทำสัญญาซื้อวัคซีนของไฟเซอร์อีก 20 ล้านโดสนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับระบบสาธารณสุขของไทย” อุปทูตสหรัฐฯ ระบุ
เมื่อถามว่าจากกรณีที่มีกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ยื่นหนังสือแสดงความกังวลเรื่องการกระจายวัคซีนดังกล่าว ทางสหรัฐฯจะมีกลไกอะไรหรือไม่ ในการทำให้มั่นใจได้ว่าวัคซีนนี้จะได้รับการกระจายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการบริจาคของสหรัฐฯ นายไมเคิล ฮีธ กล่าวว่า การกระจายและจัดสรรวัคซีนเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลไทย ส่วนรัฐบาลสหรัฐไม่มีบทบาทหรืออำนาจใดๆในการเข้าไปร่วมจัดการตรงนี้กับรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ และสหรัฐฯไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆในการบริจาควัคซีนแก่ไทย แต่เราได้มีการประสานและรับทราบจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยแล้วว่ารัฐบาลไทยมุ่งเน้นการจัดสรรวัคซีนให้กับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจากโรคโควิด-19 รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้า ทั้งแพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆที่ต้องดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยตรง นอกจากนี้ เรายังให้ความมุ่งเน้นแก่ผู้สูงอายุด้วย เพราะถือเป็นกลุ่มที่เปราะบางและได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ทั้งนี้ ประชาชนในประเทศคงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข
“เราขอสนับสนุนหลักการที่ว่าทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีสัญชาติใด หรือมาจากประเทศใด ควรที่จะสามารถเข้าถึงวัคซีนดังกล่าวได้ มีคำกล่าวไว้ว่าไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าเราทุกคนจะปลอดภัย ไม่ว่าคนไทยหรือคนชาติไหนก็สามารถแพร่กระจายเชื้อนี้ได้เช่นกัน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีการฉีดวัคซีนให้กับทุกคนให้ได้มากที่สุด เพื่อช่วยกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเรายังอยากเห็นการลงทะเบียนและการจัดสรรวัคซีนให้กับประชาชนที่มีความยุติธรรม มีประสิทธิภาพ เท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ” อุปทูตสหรัฐฯ กล่าว
ถามว่าหลังจากการส่งวัคซีนช่วยเหลือไทยแล้ว สหรัฐฯมีการหารือร่วมกับรัฐบาลไทยในการให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 อีกหรือไม่ นายไมเคิล ฮีธ กล่าวว่า รัฐบาลไทยและสหรัฐฯมีการประสานความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง โดยเรายังมุ่งเน้นที่จะบริจาควัคซีนให้ต่อไปด้วย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วมูลค่าหลายสิบล้านเหรียญ ทั้งเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันตัวส่วนบุคคล (PPE) เอกสารสำหรับการฝึกอบรมในการป้องกันตัวและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 นอกจากนี้ เรายังได้ช่วยรัฐบาลไทยในการพัฒนาวัคซีนของตัวเอง โดยมีความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารของสหรัฐฯ กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการพัฒนาวัคซีน mRNA ของตัวเอง นอกจากนี้เรายังมีความร่วมมือกับไทย บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา โดยจัดการฝึกอบรมให้กับชุมชนแถบนั้นรู้จักการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว รวมถึงให้การสนับสนุนอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ต่างๆ อาทิ หน้ากากอนามัย ชุดอุปกรณ์ช่วยเหลือป้องกันส่วนบุคคล ยา
ถามอีกว่ารัฐบาลสหรัฐฯมีการรับมือกับการแสดงความคิดเห็นของประชาชนในประเทศที่พูดถึงเรื่องวัคซีนอย่างไรบ้าง นายไมเคิล ฮีธ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น แม้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือการติเตียน ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯเผชิญการวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด รัฐบาลสหรัฐฯ ยังสนับสนุนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีภาพต่อไป
ถามต่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯมีมาตรการรับมือต่อการระบาดของโรคนี้อย่างไร อาทิ การล็อกดาวน์ และรัฐบาลไทยสามารถถอดบทเรียนจากสหรัฐฯได้อย่างไรบ้าง อุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า เราไม่มีทางที่จะหามาตรการที่ครอบคลุมที่สุดหรือสมบูรณ์แบบที่สุด สำหรับสหรัฐฯ ในแต่ละรัฐมีมาตรการที่แตกต่างออกไป บางรัฐใช้การล็อกดาวน์เต็มขั้น แต่บางรัฐยังเปิด ขณะที่บางรัฐทำแบบลูกผสม ตนจึงบอกไม่ได้ว่าควรใช้วิธีการใดที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่จำเป็นและต้องคำนึงถึง คือต้องมีการสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนในเรื่องของความเสี่ยงต่างๆ และเรื่องข่าวลวง เฟคนิวส์ เพราะทุกวันนี้ในสหรัฐฯ ยังมีประชาชนที่เข้าใจว่าวัคซีนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยังต้องให้ความชัดเจนแก่ประชาชน ให้เขารู้ว่าเรื่องนั้นเป็นข่าวเท็จ และประชากรของสหรัฐฯยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด เราฉีดไปได้แค่ 50 เปอร์เซ็นต์ เราจึงต้องฉีดวัคซีนเพิ่มต่อไป อย่างไรก็ตามต้องให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเป็นผู้ดูแลตรงนี้ โดยเรายังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างรอบคอบ ตอนนี้เรื่องของโรคระบาดคาดเดาได้ยาก จึงไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถดูแลควบคุมเรื่องการระบาดได้อย่างดีที่สุด
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |