27 ก.ค.64 - นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ในฐานะศิษ์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่บทความเรื่อง "รับน้องใหม่ต่างยุค" ผ่าน www.thaipost.net โดยมีรายละเอียดังนี้
ผู้เขียนเป็นนิสิตจุฬาฯรุ่นปีเข้า 2510 นับถึงวันนี้ คือ 54 ปีล่วงมาแล้ว เป็นนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2513 ถือเป็นคนโบราณ ระดับรุ่นพ่อรุ่นลุงของนิสิตนักศึกษายุคนี้
ความเห็นต่อไปนี้จึงอาจจะเป็นทัศนะของคนอนุรักษ์นิยมที่ก้าวไม่ทันจินตนาการของคนยุคใหม่
เมื่อเห็นข่าวเรื่อง คนสามคนโผล่หน้าออกมากล่าวถ้อยคำ ในวันปฐมนิเทศนิสิตใหม่จุฬาฯ ทุกคณะรุ่น 105 เมื่อ 20 กค. 64 โดยได้รับเชิญจากองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ผู้เขียนขอร่วมเวทีทัศนะด้วยคนหนึ่ง
ผู้เขียนรู้สึกสะเทือนใจต่อคำแนะนำของพวกเขาที่ชักชวนให้นิสิตใหม่ทั้งมวลแจกของลับให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัย โดยอ้างเหตุผลว่า นิสิตนักศึกษาเป็นประชากรส่วนมากที่มีตัวตน เป็นผู้จ่าย เงินให้ผู้บริหาร เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย จึงต้องส่งเสียงดังและแรงให้เป็นที่รับรู้ของผู้บริหารและบุคคลอื่นที่เหนือขึ้นไป
นี่คือคำแนะนำอันสามานย์
นี่คือการใช้เสรีภาพที่ไร้สติ
นี่คือการก้าวล่วงและละเมิดสถาบันการศึกษาอย่างท้าทาย
นี่คือการหมิ่นแคลนหยามหยันและท้าทายชาวจุฬาฯทั้งมวล
เป็นที่เข้าใจได้ว่า พวกเขามีสิทธิเลือกที่จะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ในมหาวิทยาลัยที่เขาใช้อวัยวะเบื้องต่ำเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนจินตนาการของเขา
อันที่จริง สิ่งที่เขาแจก ควรให้กับหมู่พวกตนเองที่มีจิตสำนึกต่ำตมในระดับเดียวกันกับของแจก มากกว่าที่จะเอามาแจกกันต่อหน้าสาธารณะเช่นนี้
คนรุ่นนี้เสพติดปัญญาความรู้ จากอุปกรณ์ดิจิตอลจนไม่เห็นหัวครูบาอาจารย์ที่มีบุญคุณต่อคนรุ่นพ่อแม่ของเขา ต่อเนื่องมาจนถึงรุ่นพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้
แต่ไม่อาจเข้าใจได้ว่า หากเขาจะเนรคุณครูบาอาจารย์ เหตุใดจึงนำเชื้ออุบาทว์มาแพร่กระจายในสถาบันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสองรัชกาลทรงสถาปนาไว้เป็นคุณูปการทางการศึกษามหาศาลต่อแผ่นดินไทย สืบเนื่องมายาวนาน
ต่อคำแถลงของสำนักบริหารกิจการนิสิตจุฬาฯ เมื่อ 21 กค. 64 ที่แสดงความเสียใจและแจ้งว่าไม่ทราบต่อการที่ อบจ. จะนำเสนอคลิปดังกล่าว จะด้วยความชะล่าใจหรือด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ มันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่พึงเกิดขึ้น หากสำนักบริหารกิจการนิสิตประสานการทำงานอย่างใส่ใจใกล้ชิดกับ อบจ. จริงจัง
ต้องขอขอบคุณสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สนจ.) ที่ทำจดหมาย ลงวันที่ 22 กค. 64 ถึงอธิการบดีจุฬาฯ โดยบันทึกว่า “มหาวิทยาลัยมีการตรวจสอบกิจกรรมดังกล่าวหรือไม่ เหตุใดจึงปล่อยให้มีคลิปที่ไม่เหมาะสมออกมา ........ ซึ่งมีผลกระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยและประชาคมจุฬาฯโดยรวม และขอให้ทบทวนแนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันอีกในอนาคต” นับเป็นการตั้งคำถามที่มีคุณค่ามากของ สนจ.
ขอตัดภาพไปที่การรับน้องใหม่ในจุฬาฯ เมื่อ 54 ปีก่อน ที่เด็กยุคใหม่รุ่นนี้ยังไม่ทันปฏิสนธิ
ผู้เขียนเป็นนิสิตใหม่ของคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ในวันรับน้องใหม่ปี 2510 นั้น รุ่นน้องถูกรุ่นพี่สั่งให้ลอดซุ้ม ให้วิดพื้น ให้ยืนขาเดียว ให้ทำโน่นนี่และเอาแป้งผสมน้ำมาทาหน้าน้องๆ แล้วล้อเล่นกันไปมาอย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่ผู้เขียนจำได้ฝังใจ คือคำพูดของรุ่นพี่ที่พูดแล้วให้น้องพูดตามว่า
“น้องเอย........ ณ ดินแดนถิ่นนี้ และ ณ บัดนี้ เจ้าจงอยู่ และเหยียบอย่างเต็มภาคภูมิ
พี่จะปกปักรักษาเจ้า ประดุจดังดวงตา”
นับเป็นไมตรีจิตที่เสนาะใจยิ่งนักในความเป็นพี่น้อง ผู้เขียนได้พบว่าเมตตาธรรมของพี่ที่ส่งมอบให้น้อง ทำให้รุ่นน้องผู้รับส่งทอดน้ำใจต่อไปยังน้องรุ่นต่อๆไป ชาวรัฐศาสตร์จุฬาฯ จึงมีจิตใจผูกพันกันเหนือขึ้นไป 3 รุ่น และต่อเนื่องไปอีก 3 รุ่น ในระยะ 4 ปีที่ได้เรียน
จึงเป็นมิตรจิตมิตรใจของคน 7 รุ่นที่มีต่อกันและกัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้
ในยุคก่อนและหลัง 14 ตุลาคม 2516 นั้น ใครที่เป็นคนร่วมสมัย จะได้ยินบทกวีชื่อ “ดอกไม้จะบาน”
“ ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน
บริสุทธิ์กล้าหาญ จะบานในใจ
สีขาว หนุ่มสาวจะใฝ่
แน่วแน่แก้ไข จุดไฟศรัทธา
เรียนรู้ ต่อสู้มายา
ก้าวไปข้างหน้า เข้าหามวลชน
ชีวิต อุทิศยอมตน
ฝ่าความสับสน เพื่อผลประชา
ดอกไม้ บานให้คุณค่า
จงบานช้าช้า แต่ว่ายั่งยืน
ที่นี่ และที่อื่นๆ
ดอกไม้สดชื่น ยื่นให้มวลชน ”
จิระนันท์ พิตรปรีชา
ตีพิมพ์ใน ผลิ หนังสือปฐมนิเทศนิสิตใหม่จุฬาฯ. (2516)
เป็นบทกวีที่สะท้อนการตื่นตัวของนิสิตนักศึกษาในยุคนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่นักศึกษาประชาชนลุกขึ้นต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย วีรพจน์ ลือประสิทธิสกุล ซึ่งเป็นนักดนตรีชาววิศวะของวงดนตรี รุ่งอรุณ ของจุฬาฯ ในเวลานั้น นำบทกวีนี้ไปใส่ทำนอง ต่อมา สุชาติ ชวางกูร นำไปร้อง ทำให้เพลงนี้กระหึ่มกลายเป็นเสมือนเพลงรับน้องใหม่ของทุกมหาวิทยาลัยในเวลานั้น เป็นอารมณ์ร่วมที่ทำให้นิสิตนักศึกษายุคนั้นพากันร้องเพลงนี้กันติดปากทั่วไป
ดอกไม้ หมายถึง คนหนุ่มสาว คือพลังแห่งความศรัทธา บริสุทธิ์ กล้าหาญ เป็นตัวแทนจิตสำนึกแห่งความดีงาม ที่ก้าวเข้าหามวลชน ดังที่จิระนันท์ เรียงร้อยไว้อย่างสวยงาม และประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้แล้วว่า พลังของหนุ่มสาวในยุคนั้นได้ประกอบส่วน ผลักดันสังคมไทย ให้ก้าวไปข้างหน้าในหลายมิติ เช่นคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน การเคลื่อนไหวของชาวนา สิทธิเสรีภาพทางการเมือง สิทธิสตรี การรักษาสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะตามมาด้วยการรัฐประหารโหด 6 ตุลาคม 2519 ก็ตาม แต่สังคมไทยได้ถอดบทเรียนอันมีค่ายิ่ง ในทิศทางที่ตกผลึกได้ว่า สันติธรรมไม่อาจเกิดขึ้นได้จากกระบอกปืน เมตตาธรรมและมนุษยธรรมต่างหากที่ควรเป็นวิถี ของสังคมไทย
รับน้องใหม่ต่างยุคต่างสมัย เป็นความแตกต่างแบบตรงกันข้าม หากนับเนื่องว่าคลิปเป็นข่าววันนั้นเป็นตัวแทนของนิสิตนักศึกษายุคใหม่
ยุคเก่าแสดงถึงมิตรจิตมิตรใจ ขณะที่ยุคใหม่อัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
ยุคเก่า มีวุฒิภาวะของความเป็นสุภาพชน ยุคใหม่ มีความกักขฬะและมีโทสะเป็นเจ้าเรือน
ยุคเก่า แสดงออกถึงความคารวะและกตัญญุตาธรรม ต่อครูบาอาจารย์และบรรพชน ขณะที่ยุคใหม่แสดงการเนรคุณอย่างเปิดเผย
ยุคเก่า มองกว้างและมองไกลไปถึงพี่น้องประชาชนที่เสียเปรียบในสังคม ยุคใหม่มองแคบ แค่ความต้องการเฉพาะหน้าของตนเอง
ยุคเก่าแสดงออกอย่างซื่อใสบริสุทธิ์ แต่ยุคใหม่แฝงเร้นไว้ด้วยอนันตริยกรรมจินตนาการ
ผู้เขียนอายุมากแล้ว จะอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงอย่างไรก็จะขอหมดลมหายใจไปพร้อมกับจิตสำนึกของโลกยุคเก่า.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |