‘ปาน ธนพร’เผยสาเหตุคุณแม่นอนติดเตียงกว่า 17ปี! โพสต์ตัดพ้อโควิดทำพิษไม่มีงาน


เพิ่มเพื่อน    

 

 

            เปิดชีวิตนักร้องเสียงทรงพลัง ปาน-ธนพร แวกประยูร เจ้าแม่เพลงรักเนื้อหาบาดใจ เผยเจอสถานการณ์โควิดทำพิษ โพสต์เฟซบุ๊กตัดพ้อไม่มีงาน อายุเยอะขนาดนี้จะไปทำอะไรต่อ? ในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 พร้อมอัพเดทอาการคุณแม่ที่นอนติดเตียงมาร่วม 17 ปี ด้วยอาการเส้นเลือดสมองตีบ หมดค่าใช้จ่ายกว่า 10 ล้าน!

 

ช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้พี่ปานดีรับผลกระทบอย่างไรบ้าง ?

ปาน : พี่ว่าทุกชีวิตไม่ต่างกัน หนักเบาแล้วแต่ เราเองก็โดนอยู่แล้ว เพราะว่าเราเป็นนักร้องไม่ได้ร้องเพลงมาเป็นปีๆแล้ว ตั้งแต่มีโควิดไม่ได้มีงานร้องเพลงเลย จะมีก็แค่ออกรายการเล็กๆน้อยๆ พออยู่ได้ไป เราก็ยังดีกว่าอีกหลายๆชีวิตที่เขาลำบากมากที่เป็นข่าวเห็นๆกันอยู่

 

ช่วงโควิดพี่ปานไม่มีงานเข้ามาเลย แล้วแอบไปเห็นสเตตัสที่พี่ปานโพสต์ตัดพ้อ พี่ปานท้อชีวิตหรือเปล่า ?

ปาน : เปล่า โพสต์ไปอย่างงั้นหาเรื่องสนุกๆไป  จริงๆเรามีความรู้สึกว่าเราเริ่มแก่แล้ว ถ้าเราคิดว่าหนึ่งวันคือชีวิตคน ตอนนี้ด้วยอายุของเรามันเลยตรงกลางมันเลยตรงเที่ยงมาแล้ว ถ้าเที่ยงมันคือชีวิตวัยรุ่น เราคือช่วงชีวิตบ่ายกำลังเข้าเย็น บ่านคล้อยเย็น เราต้องมานั่งคิดแล้วว่าชีวิตต่อจากนี้เราจะทำอะไร เราจะมีเป้าหมายอะไรต่อไปดี เราก็โพสต์เล่นๆเผื่อเพื่อนๆจะเข้ามาตอบสนุกสนาน เผื่อจะแนะนำอะไร

 

งั้นขอเคลียร์ที่ละประโยค ทีละความเข้าใจก่อน เห็นพี่โพสต์ว่าอายุขนาดนี้จะไปทำอะไรดี พี่ปานจะไปทำอะไร จะออกจากวงการหรือเปล่า ?

ปาน : มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกก็อาจจะเห็นหน้ากันตามรายการเล็กๆน้อยๆ คงไม่ได้เห็นกันเหมือนเมื่อก่อน เราก็มีเป้าหมายของเราที่เปลี่ยนไปก็คือเป้าหมายทางธรรม ซึ่งทุกวันนี้นอกจากเป็นจิตอาสาในกลุ่มบัวลอยที่ช่วยงานทางศาสนาเท่าที่เราทำได้ แต่งานพวกนี้มันเป็นงานที่ไม่ได้สตางค์ มันเป็นงานเรื่องใจ มันก็ต้องมานั่งคิดว่าชีวิตมนุษย์มันอยู่ได้ด้วยเรื่องปัจจัยก็เลยมานั่งคิดว่าเราจะทำอะไรดีแก่ป่านนี้แล้ว

 

มีอีก 1 โพสต์เรื่องของงานละครว่ารับบทแม่ อยากรับบทเป็นแม่นางร้าย ?

ปาน : พี่เป็นคนชอบเล่นเป็นตัวร้ายมากเลย จริงๆแล้วพี่ปานเล่นแต่ละครเวที ไม่เคยเล่นละครทีวี จริงๆรับบทแม่ในละครเวทีตลอด รู้สึกว่ารับบทแม่เป็นบทที่สนุกนะ มีความอบอุ่นบางอย่าง เราก็เลยประกาศเล่นๆ เผื่อใครมาเห็น ฉันรับได้ ฉันเล่นได้ ฉันเล่นเป็นแม่ได้

 

 

คุณแม่ของพี่ปานตอนนี้เป็นยังงไงบ้าง ?

ปาน : ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องนอนอยู่อย่างนั้น นอนมา 17 ปีแล้ว คุณแม่เป็นเส้นเลือดตีบเมื่อปี 45 รักษามาจนเอากลับมาได้ แต่ระหว่างทางมีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากหายเกือบ 100% ไปล้ม พอล้มก็ทำให้สะโพกหักก็ต้องผ่าตัด พอผ่าตัดกลับออกมาก็ต้องกายภาพ คุณแม่ก็เป็นคนชอบกินโน่นกินนี่ยังกินขนมหวานอยู่ ไม่ค่อยได้มีวินัยมากก็ทำให้กลับมาตีบครั้งที่ 2 ซึ่งการตีบครั้งนี้เป็นการตีบที่หมอครั้งแรกเตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า กลับไปเที่ยวนี้ซีเรียสนะเพราะถ้าตีบครั้งที่ 2 เอาคืนไม่ได้แล้วนะ แล้วการตีบครั้งที่ 2 มันเป็นการตีบที่ไปมีส่วนในการควบคุมการกลืนกับการพูดแล้วทำให้ซีกขวาจะนิ่ง คุณแม่ก็นอนด้วยอาการแบบนี้ 17 ปีแล้ว

 

มีช่วงเวลาไหนที่เราเห็นคุณแม่แล้วพี่รู้สึกว่าเราก็ทรมาน คุณแม่ก็ทรมาน ?

ปาน : พี่ว่า 5 ปีแรก เพราะว่าคนเคยเที่ยว แม่เราเป็นคุณครูต้องพูดบ่น แล้ววันหนึ่งพูดไม่ได้ก็หงุดหงิดกว่าจะรับตัวเองได้ เคยชอบกินก็กินไม่ได้ อะไรที่เคยชอบกินก็ได้แต่นั่งมองทุกอย่างก็ต้องฟรีซ เขาก็จะหงุดหงิด เป็นช่วง 5 ปีแรกที่ลูกๆทุกคนต่างคนต่างทรมาน แต่วันที่พี่น้อง 5 คนมายืนร้องไห้กันเลยก็คือวันที่รู้ว่าว่าเขาพูดไม่ได้แล้ว อันนั้นหนักที่สุดในชีวิตเลย

 

คำสุดท้ายที่ได้สนทนากับคุณแม่ก่อนที่คุณแม่จะพูดไม่ได้ คุยเรื่องอะไรกัน ?

ปาน : จำได้ว่าป้อนข้าวเขา วันนั้นเข้าโรงพยาบาลด่วนขึ้นมา แล้วมันก็แปลกมากมันเหมือนเขารู้ เขาก็ทานเยอะมากเลยแล้วก็รีบทานมาก เรายังต้องบอกแม่ว่าต้องกินช้าๆเดี๋ยวสำลัก เขาก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วนับจากนั้นเป็นเวลาแค่ข้ามคืนเองเขาก็พูดไม่ได้แล้ว อยู่ดีๆก็พูดไม่ได้แล้ว นิ่งๆ ได้แต่นอนมองลูก เราก็ตกใจ ที่ไหนดี ที่ไหนเก่งเราไปหมด รักษาทุกที่ สุดท้ายมันก็ได้เท่านี้

 

 

ใน 17 ปีค่าใช้จ่ายเป็นยังไง ?

ปาน : หนักมาก ก็น่าจะเกิน 10 ล้าน เพราะว่าโรคพวกนี้จะเป็นแบบระยะยาว จะเป็นไปเรื่อยๆ ช่วง 5 ปีแรกเป็นปีที่ร่างกายมันขึ้นลง แล้วหลายครั้งก็เหมือนกับแม่จะไป เราก็ยื้อกัน ทุกอย่างมันใช้เม็ดเงินตลอด แต่ว่าอย่างหนึ่งปานรู้สึกขอบคุณเจ้ากรรมนายเวรที่มาเอาเรื่องแม่เราตอนเราไหว เขาก็ยังเมตตาที่มาเอาเรื่องแม่เราตอนเรายังมีกำลัง

 

ครอบครัวมีการท้อกันขนาดไหนกับเรื่องนี้ ?

ปาน : แรกๆเราก็สู้กันมาตลอด อยู่ไปๆเราก็เห็นแม่เราทรมานมากเลย เราก็คิดว่าเขาก็คงไม่อยากอยู่กับร่างที่เสื่อมขนาดนี้ คนเราไม่ใช่อยากจะตายก็ตายได้เราก็ได้แต่บอกแม่เราว่าแม่ใช้กรรมนะ ใช้ให้หมด จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน ก็ได้แต่ปลอบใจกันแบบนี้ วันนี้เราทำได้แค่นิมนต์พระน้องชายให้ท่านเมตตาไปรับสังฆทานให้แม่ได้มีภาพจำ ให้จิตเขาจำว่าเขาทำบุญอะไรไว้เยอะ เพราะแม่ชอบทำบุญสมัยแข็งแรง เขาทำบุญสวดมนต์ตลอด แต่อย่างว่าคนเราก็มีกรรมเป็นของตัวเอง แม่ถือว่าเป็นครูสอนธรรมะได้ใกล้ตัวที่สุด เราเลยเห็นมันเลยทำให้เราปลงอะไรได้เริ่มจากการเห็นแม่เราก่อน ต่อให้เราพยายามแค่ไหนมันไม่มีอะไรใหญ่กว่ากรรมเลย

 

ในช่วงที่พี่ปานจิตตกพี่ปานก็ยังขอบคุณเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามาในตอนที่เรายังไหว ในช่วงที่แย่เรายังมองหาและขอบคุณอุปสรรค ?

ปาน : เรามองแบบนั้นนะ ขอบคุณที่ยังมีเมตตากับเราในตอนที่เรายังมีกำลัง เรายังคิดเลยว่าถ้าเรายังไม่ได้เป็นนักร้องตอนนั้นยังทำงานเบื้องหลังเราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายอาทิตย์ละแสนกว่าบาท เราจะเอาที่ไหน ช่วงนั้นมันดีที่ว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จแต่เราก็แค่เสียใจที่ว่าแม่ควรจะมีความสุขได้ไปเที่ยวที่อยากไปด้วยเงินที่เราหา เพราะแม่เป็นคนที่ชอบเที่ยวมาก เราเข้าใจเลยว่าคนที่ชอบเคลื่อนไหว ขอบพูดขอบบ่น บ่นลูกว่าลูก วันนี้ใครที่คุณแม่พูดได้อยู่ให้เขาพูดเถอะวันใดที่เขาพูดไม่ได้แล้ว คุณจะเข้าใจเลย

 

พี่ปานคิดว่า 17 ปีแล้วจะมีปาฏิหาริย์ไหม คุณแม่จะมีโอกาสกลับมาพูดกับเราอีกได้ไหม ?

ปาน : 17 ปีมันยาวนานมากสำหรับคนๆหนึ่งที่ต้องทรมานบนนี้ จริงๆมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณแม่กลับมาทานอาหารได้ เราก็ดีใจกันมากว่าแม่กินข้าวได้แล้วนะ แต่ว่าเขาสำลักด้วยความที่เขาไม่ได้กินมานาน อันนี้ก็เป็นอีกแมทช์หนึ่งที่เกือบไป พอสำลักก็ทำให้เศษข้าวเข้าไปในปอดแล้วก็เข้าไอซียู คุณหมอก็สั่งว่าห้ามกินต่อไปนี้ให้กลับไปกินแบบสายยางเหมือนเดิมก็จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ถ้าขอได้ก็อยากให้เขาพูดได้

 

ถ้าแม่ดูอยู่พี่ปานอยากบอกอะไรกับแม่ ?

ปาน : จริงๆก็คือภูมิใจในตัวเขา เขาคือนักสู้สำหรับพี่นะ แม่เป็นนักสู้สุดๆเลย ไม่ได้แสดงอาการว่าสู้คนแต่ก็ไม่ให้ใครมารังแกได้ เป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตบนความกล้าหาญ ถึงแม้จะมีทุกข์แม่ก็เผชิญ แม่จะพูดเสมอว่าจำเอาไว้เลยนะวันหนึ่งที่พวกแกไปมีลูก แกต้องเลี้ยงลูกให้เขาอยู่ให้ได้โดยที่ไม่มีแกแล้วอย่าเลี้ยงลูกให้ตัวเองรักคนเดียว ต้องเลี้ยงลูกให้คนอื่นเขารักลูกแก มันถึงจะถูก

 

 

พี่ปานเคยเฉียดตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เห็นว่าตั้งแต่เด็กๆซนมากเห็นว่าเกือบตายเพราะจมน้ำ ?

ปาน : คนที่บ้านเขาก็เล่ากันว่าตอนเด็กๆต้องล่ามเอาไว้กับขาโต๊ะ ตอนเด็กๆเคยตกบันได ตกลงมาสูงเลย บ้านเรือนไทย 2 ชั้นวิ่งแล้วก็เบรกไม่ทันตกลงมา แล้วก็ลงมานั่งงงๆที่อ่างล้างเท้า แล้วก็ตกน้ำนี่บ่อยมาก

 

ตกน้ำได้ยินมาว่า จมน้ำเกือบตายนับครั้งไม่ถ้วน ?

ปาน : ประมาณ 3 รอบ แต่ว่าครั้งที่จะตายจริงๆ  ตอนนั้นไปเล่นบานาน่า โบ้ท เขาก็ต้องทำให้เรือคว่ำ แต่ช่วงคว่ำแล้วเราจะว่ายหนีเพื่อที่จะขึ้นเรือแต่ตัวเรือมันไล่ทับหัว มันแปลกมากเลยเราหนีเท่าไหร่มันก็ไล่ทับหัวเรา เราขึ้นไม่ได้พอมันเฮือกสุดท้ายจริงๆเราก็มุดออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จำได้ แล้วก็รอด อันนั้นรู้สึกเลยว่าถ้าไม่พ้นคือตาย

 

แต่ทางบกก็น่ากลัวเหมือนกันพี่ปานโดนรถเมล์ชนแล้วรอด ?

ปาน : ตอนนั้น ม.1 เอง ตัวเราก็เล็กๆ เราอยากรีบกลับบ้าน สมัยก่อนเราจะนั่งรถเมล์พอเราเห็นรถเมล์มาไกลๆ เราจะต้องรีบวิ่งมาเพื่อจะรีบขึ้นไปแย่งที่นั่ง ถือกระเป๋านักเรียนวิ่งไปดักรอข้างหน้ากะระยะว่าถึงตรงนี้เราจะได้ขึ้นเป็นประตูแรกของเขาทัน เราจะได้มีที่นั่งเพราะมันไกล เขาก็ไม่เห็นเราหรอกเพราะเราตัวเล็กมาก เขาก็ขับมาปกติ เราเนี่ยแหละดัก ดักแล้วไม่พ้นก็เลยโดนชนแบบตัวหันเลย แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรเลย กลัวอยู่อย่างเดียวเดี๋ยวขึ้นไม่ทันไม่ได้กลับบ้าน ตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ไหล่พี่ก็ดังตลอด มันคงมีอะไรหลุด

 

มีจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้พี่ต้องพึ่งทางธรรมแล้ว ?

ปาน : พี่ว่าแม่พี่เองก็เป็นเคสหนึ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าที่ชัดเจน อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่าคนเรามันมีความทุกข์มากกว่าความสุข ทำไมในวันที่เราประสบความสำเร็จทุกๆอย่าง ทำไมใจเราทุกข์มันไม่ใช่แค่เรื่องแม่แต่เรากลับรู้สึกว่าเคว้งคว้าง ใจมันมีคำถามอยู่ตลอดว่ายังไงต่อ มันถามอยู่อย่างนี้ เราก็เลยอยากหาคำตอบว่าธรรมะเขาสอนอะไร พระพุทธเจ้าสอนอะไร เราก็เลยเริ่มอยากรู้ว่าการปฏิบัติติธรรมช่วยอะไร เราก็เลยเริ่มค่อยๆเบนตัวเองออกมาเรียนรู้ธรรมะดู

 

พี่ปานอยู่ในวงการมานานแล้วแต่ไม่เคยมีข่าวคราวไม่ดีเลย ?

ปาน : มันก็มีบ้าง แต่พี่มองว่าพี่ไม่ได้เป็นคนที่ประชาชนจะสนใจชีวิตมากกว่า สนใจเรื่องการงานมากกว่า

 

 

พี่ปานไม่มีความรักเลยเหรอ ?

ปาน : มันเคยมีทุกอย่างแล้ว เราผ่านมาหมดแล้ว ความรักเราก็มีความรักที่ดีที่จบดี ส่วนใหญ่เราก็จะจบดีๆ ไม่ใช่เราไม่รู้จักรัก เรารู้จักมาหมดแล้ว แต่วันนี้การมีคู่ไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกแต่เราขอเลือกที่อยากจะเรียนรู้ใจตัวเองมากกว่า มันก็เลยไม่ได้มีเรื่องนี้ให้คนเห็นมากนัก

 

แต่จากเพลงของพี่ ผู้ชายไม่มีดีเลย หลายคนเลยสงสัยว่าพี่เจ็บช้ำจากผู้ชายแน่ๆเลยหรือว่าพี่ปานไม่ชอบผู้ชาย ชอบเพศเดียวกัน ?

ปาน : พี่ชอบผู้ชายปกติเลย แต่ว่าไม่ใช่ผู้หญิงในสเปคที่ผู้ชายจะวิ่งเข้าหาเหมือนกัน แต่ว่าเพื่อนจะเยอะ คนจะเข้ามาเป็นเพื่อนกับเราเยอะมาก

 

ถ้าวันนี้มีใครซักคนเข้ามาในชีวิตมีโอกาสไหม ปิดตายหรือยัง ?

ปาน : มันต้องรู้ว่าจะไปในทิศทางเดียวกันได้ไหม เราไม่ได้มีเขาเป็นเป้าหมายหลักเรามีอย่างอื่นเป็นเป้าหมายหลัก แต่ถ้าจะเดินไปด้วยกัน มีเป้าหมายเดียวกันในทางธรรม พี่ว่ามันก็ไปด้วยกันได้ แต่ว่า ณ วันนี้มันไม่ใครเดินเข้ามาหาเราแบบนี้ส่วนใหญ่แล้วมีแต่เพื่อนจริงๆ เราอาจจะไม่เหมาะที่จะมีผู้ เพราะว่าตัวเราเองเรายังจัดการชีวิตตัวเองหรือว่าข้างในตัวเองได้ไม่ดีพอที่จะมีอีกคนหนึ่ง เรารู้สึกอย่างนั้น

 

อยากให้พี่ปานให้กำลังใจใครหลายๆคน ที่ตอนนี้เขาก็ประสบปัญหากันทั่วประเทศเลย ?

ปาน : อย่างที่บอกคำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนที่พระพุทธเจ้าสอนมันลึกซึ้งมากจริงๆ มันไม่ใช่แต่กายมันเป็นเรื่องของข้างในด้วย อาจารย์พี่ก็จะสอนเสมอว่าให้มองทุกอย่างตามความเป็นจริง เราจะได้ไม่หลงทาง ต่อให้มันจะทุกข์ มันจะแยกแยะได้ว่าทุกข์ที่มันเกิด มันเกิดขึ้นจากตัณหาในใจหรือความไม่ได้ดั่งใจ มันใช่ทุกข์ที่ควรทุกข์หรือไม่ แต่กับบางคนที่ทุกข์จริงๆคือที่อยู่ตามข้างถนนไม่มีจะกิน อันนี้ทุกข์จริง พวกที่ยังทุกข์อยู่ด้วยแค่ไม่ได้ดั่งใจลองถามตัวเองว่าทำไมยังกล้าเรียกว่าทุกข์ มันทำให้เราตื่นเลย

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"