จากอู่ฮั่นโมเดลผ่านกว่างโจวโมเดล สู่ ‘บางกอกโมเดล’?


เพิ่มเพื่อน    

เมื่อวานผมเขียนถึงประเด็นที่คนของ ศบค.เริ่มพูดถึง  “อู่ฮั่นโมเดล” ที่อาจจะจำเป็นสำหรับประเทศไทย หากมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ไม่บรรลุเป้าหมายเท่าที่ควร
    หลายคนที่ติดตามแนวทางของรัฐบาลจีนในการสู้กับโควิด อาจจะรู้ว่าเขาใช้สูตรที่มีส่วนผสมหลายอย่างในการสกัดโควิดเมื่อโผล่มาเป็นคลัสเตอร์ใหม่
    ล่าสุดก็มีกรณีที่เมืองกว่างโจวทางใต้ที่เป็นศูนย์การพาณิชย์สำคัญของจีน
    ทำให้เกิด “กว่างโจวโมเดล” ขึ้นมา เพราะเขาพบว่าต้องสู้กับโควิดสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์อย่าง Delta 
    จึงต้องปรับสูตรของอู่ฮั่นให้สอดคล้องกับการที่ไวรัสตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์แพร่ระบาดรวดเร็วและรุนแรงขึ้น
    ต้องไม่ลืมว่าตอนที่เกิดอู่ฮั่นนั้น จีนยังไม่ได้ผลิตวัคซีนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
    ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองด้วยซ้ำไป
    ดังนั้น ถ้าไทยเราจะเรียนรู้จากประเทศอื่นก็ต้องพิจารณาบริบทที่ปรับเปลี่ยนไปด้วย
    จริงๆ แล้วคำว่า “โมเดล” ของจีนที่เชื่อกันว่าประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ Lockdown อย่างจริงจังเท่านั้น
    แต่ยังต้องมีมาตรการที่เดินพร้อมกันไปอย่างจริงจังและเข้มข้น
    เพราะการล็อกดาวน์เป็นเพียงการซื้อเวลาชั่วคราวเท่านั้น แต่การจะทำให้มีผลยั่งยืนและเป็นรูปธรรมจะต้องมีการทำงานพร้อมๆ กันไปอีกหลายเรื่อง เช่น
    วันก่อนผมชวน ดร.ปิติ ศรีแสงนาม สนทนาเรื่องนี้ ได้ข้อมูลและบทสรุปหลายประเด็นที่รัฐบาลไทยต้องนำมาปรับใช้อย่างจริงจัง จึงจะสามารถเห็นผลทางปฏิบัติได้ เช่น
    1.ต้องตัดสินใจล็อกดาวน์อย่างเร่งด่วนและทันกับสถานการณ์ นั่นหมายถึงการกล้าตัดสินใจ โดยที่ตระหนักว่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับสูง
    ตอนเกิดเรื่องครั้งแรกที่อู่ฮั่นนั้น ผู้นำจีนรู้ว่าเมืองนี้เป็นศูนย์กลางทางโลจิสติกส์ของจีน มีระบบทางด่วน ระบบรถไฟความเร็วสูง เหนือ-ใต้-ออก-ตก และเป็น “ชุมทาง”  หรือ Interchange ที่อู่ฮั่น 
    อีกทั้งผู้นำระดับชาติและระดับเมืองกล้าปิดเมืองในวันตรุษจีน ที่คนจีนเดินทางนับหลายร้อยล้านคนขณะที่ เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู 
    กรณีกว่างโจวก็เช่นกัน เมืองนี้เป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้งที่ค้าขายระหว่างประเทศมากที่สุด คู่กับเขตเศรษฐกิจฮ่องกง, มาเก๊า ในกว่างโจว 
    พอตรวจพบว่าผู้หญิงอายุ 75 ปีรายแรกที่ติดเชื้อเดลตาที่นั่น จีนก็ระดมสรรพกำลังทันที
    พอเห็นว่าจำเป็นต้องปิดเมืองเพื่อรักษาชีวิต เขาทำทันที ภาวะผู้นำต้องกล้าตัดสินใจบนข้อมูลที่รอบคอบและรอบด้าน 
    และที่สำคัญคือต้องมีแผนการรองรับ 
    2.เร่งตรวจเชื้อเชิงรุก 24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แม้ฝนตก  แดดออก กลางดึก ก็มีอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนออกไปเชิญชวนให้คนมาตรวจคัดกรอง
    3.บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดไม่เลือกปฏิบัติ  จัดการกับผู้ละเมิดกฎกติกาอย่างจริงจัง ไม่มีการเล่นเส้น  ไม่มีการยกเว้นให้อภิสิทธิ์ชน
    4.ขณะเดียวกันก็ต้องจัดหาอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อส่งกำลังบำรุงให้ประชาชนอย่างไม่ขาดแคลน 
    เขาใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยอย่างครบถ้วน นั่นคือทำผ่านระบบ Mini-Application บนโทรศัพท์มือถือ 
    ทุกคนในพื้นที่จะไม่สามารถออกนอกที่พักอาศัยได้  ยกเว้นกรณีที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ทุกคนถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องใช้ app เป็น
    5.และที่สำคัญมากๆ คือ ในจังหวะเดียวกันนั้นทางการต้องเร่งฉีดวัคซีนให้มากที่สุด 
    และแม้เมื่อเปิดเมืองได้ก็ยังต้องบังคับการรักษาระยะห่าง Social Distancing จนเมื่อมั่นใจว่าทั้งเมืองปลอดเชื้อแล้วจึงยอมผ่อนคลายมาตรการนี้ลงไปได้บ้าง
    6.ใช้ AI+GPS+QR code+Mini Application ในการบ่งชี้พื้นที่เฝ้าระวัง บ่งชี้ว่าใครสามารถเดินทางได้หรือไม่ได้ และได้แค่ไหน รวมทั้งเฝ้าระวังว่ามีใครละเมิดกฎกติกาหรือไม่
    7.ที่ลืมไม่ได้คือต้องมีการวาง “แผนเผชิญเหตุ” อย่างชัดเจน รัดกุม รอบด้าน (ทั้งเรื่องมาตรการ กำลังคน  อุปกรณ์ และงบประมาณ) เพื่อให้ประชาชนเชื่อใจและมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถจัดการกับปัญหาได้
    ดร.ปิติสรุป “แผนปฏิบัติการ” ที่ครบทุกมิติอย่างนี้ เป็น “พิมพ์เขียว” ให้รัฐบาลไทยต้องพิจารณาทำแผนอย่างจริงจัง
    หากถึงวันที่ต้องทำเป็น Bangkok Model ที่ไม่เหมือนกับที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้...ซึ่งวันนั้นอาจจะอยู่ไม่ไกลจากวันนี้นัก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"