19 ก.ค. 64 - นายวัฒนา เมืองสุข ประธานคณะกรรมการกฎหมายและการเมืองพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความว่า  วัคซีนใช้เป็นยาสำหรับมนุษย์เป็นผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม ประเภท 30.02 ตาม พรก. พิกัดอัตราศุลกากร ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2559 การนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 จึงได้รับการยกเว้นไม่เสียอากร

คนไทยมีความต้องการได้รับการฉีดวัคซีนทางเลือกชนิด mRNA เช่น Moderna ที่เชื่อว่าป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ดีกว่าวัคซีนที่รัฐจัดให้ จึงได้จองฉีดกับ รพ.เอกชนซึ่งคิดค่าฉีดรวม 2 เข็ม เป็นเงิน 3,400 บาท แต่ต้องจ่ายค่าจองเต็มจำนวนก่อนทันทีและจะได้ฉีดเมื่อ รพ. ได้รับวัคซีน ส่วน รพ. เอกชนได้จองซื้อวัคซีนดังกล่าวจากองค์การเภสัชกรรมที่เป็นผู้นำเข้าในราคาโดสละ 1,100 บาท หรือ 2 เข็มเป็นเงิน 2,200 บาท รพ. เอกชนจึงได้กำไร 1,200 บาท จากต้นทุน 2,200 บาท หรือกำไรทันทีเกือบ 60% โดยไม่มีความเสี่ยงและไม่ต้องลงทุนเพราะเอาเงินประชาชนไปจอง 

ตาม พ.ร.บ. สินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 ให้อำนาจคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งมี รมว.พาณิชย์ เป็นประธานมีอำนาจประกาศให้สินค้าหรือบริการใดเป็นสินค้าหรือบริการควบคุม และตามมาตรา 25 ให้อำนาจ กกร. กำหนดราคาซื้อหรือราคาจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุมดังกล่าวเพื่อป้องการกำหนดราคาซื้อหรือจำหน่ายสินค้าหรือบริการที่ไม่เป็นธรรมกับประชาชน โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2563 กกร. เคยประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมและกำหนดราคาให้จำหน่ายไม่เกินแผ่นละ 2.50 บาท

สิ่งที่น่ารังเกียจคือในคณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งให้หมอปิยะสกลเป็นประธานจัดหาวัคซีนทางเลือกตามคำสั่ง นรม. ที่ 5/2564 ลงวันที่ 9 เมษายน 2564 มีตัวแทนโรงพยาบาลเอกชนร่วมเป็นกรรมการเกือบ 10 คน ประชาชนจะหวังพึ่งพากรรมการชุดนี้ลดราคาให้คงไม่มีทาง จึงเหลือที่พึ่งทางเดียวคือใช้อำนาจของ กกร. ประกาศให้วัคซีนเป็นสินค้าควบคุมเพื่อควบคุมราคาให้กับประชาชน แต่อำนาจดังกล่าวถูกนายกรัฐมนตรีรวบไปเป็นของตัวเองแล้ว ตามประกาศฉบับที่ 3 ลงวันที่ 27 เมษายน 2564 (ลำดับที่ 25) http://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/2021/04/CV19-95.pdf

จึงต้องวัดใจพลเอกประยุทธ์ว่าจะใช้อำนาจที่ไปยึดเอาของ รมว.พาณิชย์ มาเป็นของตัวเองรักษาประโยชน์ของใครระหว่าง รพ. เอกชนกับประชาชน.