‘เอนก’ลั่นสลายขั้ว รปช.เลิกจมกับอดีตพร้อมจูบปากทุกพรรค/กกต.ย้ำค่าเลือกตั้ง5.8พันล้าน


เพิ่มเพื่อน    

  ประธาน กกต.ระบุเลือกตั้ง ส.ส.ต้องใช้งบประมาณ 5,800 ล้านบาท ขณะที่งบเลือกตั้ง ส.ว.ลดลง 800 ล้านบาท พร้อมยืนยันมีความพร้อมในการจัดเลือกตั้งทุกด้าน "เอนก" ชี้สถานการณ์การเมืองเหมือนถ่านแดง พร้อมลุกเป็นไฟ ระบุความขัดแย้งยังคงอยู่ ลั่น รปช.ไม่มีขั้ว ขณะที่เพื่อไทยโวย คสช.จัดครม.สัญจรหาเสียงล่วงหน้า เหน็บดูดได้แค่ ส.ส.สอบตก พวกไม่มีพื้นที่

    เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2561 นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)? กล่าวในงานสถาปนา กกต.ครบรอบ 20 ปีว่า กกต.มีความพร้อมในทุกด้าน และทุกพรรคการเมืองไม่ต้องกังวลว่า กกต.จะเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะจะดำเนินการไปตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ อย่างเคร่งครัด เนื่องจากคุณสมบัติของ กกต.ตามรัฐธรรมนูญ ต้องเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความเป็นกลางทางการเมือง
    เขากล่าวว่า ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์จะเกิดความวุ่นวายเช่นที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ถ้าประชาชนทุกคนให้ความสนใจว่าการเลือกตั้งไม่ใช่เฉพาะ กกต.เพียงอย่างเดียว ควรหันมาร่วมมือกันในการปราบการทุจริต
    ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลใจว่าการลดการแบ่งเขตเลือกตั้งอาจจะทำให้พรรคการเมืองบางพื้นที่คะแนนเสียงลดลง เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้เหลือเพียง 350 เขต จากเดิม 375 เขตเลือกตั้งเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือ การรับฟังความคิดเห็นจากพรรคการเมืองและประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย
    นายศุภชัยยืนยันว่า กกต.มีความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้า ขออย่าเป็นห่วง ขณะที่ร่างระเบียบต่างๆ ก็ดำเนินการร่างรอไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อกฎหมายประกาศใช้ก็จะนำมาเทียบดู และแก้ไขเล็กน้อย เพื่อให้สอดคล้องพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 
    ส่วนการเลือกตั้ง ส.ว. จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้น ต้องรอกฎหมายมีผลบังคับใช้ก่อน จากนั้น กกต.จึงจะปฏิบัติตามได้ ขณะเดียวกันไม่ห่วงว่าการเลือกตั้งจะมีผลเป็นโมฆะหากทุกคนช่วยกัน ขณะที่การรักษาความสงบเรียบร้อย จะประสานให้ทางทหารเข้าดูแลร่วมด้วยหรือไม่ ต้องพิจารณาอีกครั้ง
    ประธาน กกต.กล่าวถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นว่าขณะนี้กำลังปรับแก้ร่างที่ 2 ตามที่ กกต.ได้ทักท้วงไปเพื่อความสมบูรณ์ ซึ่งคาดว่าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น จะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งมีประเด็นที่ได้ทักท้วงไปซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ในกฎหมายเก่าที่มีความบกพร่อง แนะนำเอามาปรับปรุงเพื่อให้มีความชัดเจน การทำงานราบรื่นและไม่ต้องให้หน่วยงานใดมาตีความให้เกิดความซับซ้อนอีก
    นายศุภชัยยังระบุถึงงบประมานเลือกตั้ง ส.ส.มีการประเมินไว้ตั้งงบประมาณไว้ 5,800 ล้านบาท  เนื่องจากมีงบประมานเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนอำนาจ กกต.ให้ผู้ตรวจการเลือกตั้งดำเนินการด้านการข่าว และสอบสวนเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งงบประมานดังกล่าวเป็นของรัฐบาลที่จะต้องจัดงบประมาณมาให้คณะกรรมการ กกต.ดำเนินการอย่างพอเพียง
เลือกตั้ง ส.ว.ลดลง 800 ล้าน
    ทั้งนี้ งบประมาณในส่วนการเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งนี้ จะใช้ราว 1,200 ล้าน จากที่เคยใช้ 2,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเดิม 800 ล้านบาท เนื่องจากกระบวนการเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปจากเดิม
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า กกต.จะใช้งบประมาณจำนวน 5,800 ล้านบาท จากเดิม 3,000 ล้านบาท โดยในส่วนที่เพิ่มขึ้น 2,800 ล้านบาท เพื่อให้รัฐสนับสนุนอำนาจ กกต.
    วันเดียวกันนี้ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) เผยแพร่ความเห็นเรื่อง "พรรคการเมืองกับความรู้รักสามัคคี" ผ่านเพจเฟซบุ๊ก "เอนก เหล่าธรรมทัศน์ Anek Laothamatas" ระบุว่า "การเมืองไทย แม้สี่ปีมานี้จะสงบลงได้พอควร แต่ความเป็น “ศัตรู” อยู่กัน “คนละพวก” “คนละฝ่าย” ก็ยังคุกรุ่น ร้อนแรง แต่หลบสายตาอยู่ จะเปรียบไปก็คล้ายถ่านแดง ที่ยังเหลือเนื้อถ่านอีกมากพอ อาจจะลุกขึ้นมาเป็นทะเลเพลิงอีกเมื่อไรก็ได้ เพียงแค่มีคนโหมความร้อนเข้าไป
    การเปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (หรือ รปช.) ทำให้ฝ่ายสีแดงและ ฝ่ายสีเหลือง-กปปส.ที่ไม่เห็นด้วย ออกมาแสดงความเห็นต่อคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างรุนแรง ก้าวร้าว และหยาบคายทีเดียว ซึ่งผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น ทำให้ผมยิ่งคิดว่าต้องพูดให้ดังขึ้นอีก ว่า รปช. ในฐานะพรรค ตั้งใจและยึดมั่นที่จะไม่ตอบโต้ ไม่ด่าทอ ไม่แก้คืน ท่านที่โกรธเคืองในเรื่องอดีต อดีตนั้นควรมีเพียงเอาไว้เป็นบทเรียน
    พรรค รปช.ยืนยันจะไม่ผูกขั้วเป็นศัตรูหรือเป็นปรปักษ์กับพรรคใดๆ ฝ่ายใดๆ สีใดๆ ไม่ผูกมัดตัวเองก่อนเวลาเกินไปว่าจะรวมกับใคร ไม่รวมกับใคร
    ผมกับมิตรสหายผู้ก่อตั้งจำนวนหนึ่งในฐานะคนนอก-กปปส. และนอก-พันธมิตร จะมุ่งเน้นทำการเมืองแห่งความรู้รักสามัคคี คุณสุเทพกับอดีต กปปส. จำนวนมากก็เดินมาถึงจุดที่พร้อมยื่นมือไปร่วมมือ ปรองดองกับแทบทุกพรรคฝ่าย ขอเถอะครับ อย่ามองแต่ความขัดแย้งในอดีต เราตั้งพรรคเพื่อวันข้างหน้า เพื่ออนาคตเป็นสำคัญ ทำอย่างไรคนที่เคยเดินขบวนหนักจากคนละจุดยืน จะหันมาทุ่มเทสร้างพรรคใหม่ บ้างก็ปรับเปลี่ยนพรรคเก่า และยื่นดอกกุหลาบแดงไปให้พรรคฝ่ายที่เคยบาดหมางบ้าง
    พรรคการเมืองทั้งหลายจะจมอยู่กับอดีตไม่ได้ จะแตกแยกต่อไป ไม่คิดใหญ่ และอาศัยแต่ไขสันหลัง ใช้แต่สัญชาตญาณเดิม เตรียมตัวฟาดฟันกันรอบใหม่ไม่ได้ เราจะฟื้นกลับไปสู่พฤษภา 2535 ก็ไม่ได้ สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นต่างกันมาก เพียงเห็นทหาร “ครองเมือง” จะคิดง่ายๆ ว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายจนไปสู่การขับไล่ทหารคงไม่ได้ เพราะความขัดแย้งหลักในสังคมยังเป็นเรื่องสองสี สองขั้ว สองพรรคเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เห็นจากการที่ฝ่ายต่างสีต่างขั้วได้ออกมาซัดกระหน่ำ พรรค รปช.ผมเองก็โดนบริภาษ แต่ช่างเถิดครับ ณ เวลานี้ ขอย้ำว่าทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย ในสองขั้วที่เป็นปรปักษ์กันอยู่นั้น ก็ล้วนบอบช้ำพอๆ กันแล้ว และจะทุกข์ทวีขึ้นเรื่อยๆ สายพานที่จะลำเลียงพวกเราไปสู่คุกตะราง และการลงทัณฑ์อื่นนั้น พาเราไปใกล้ “จุดจบ” เข้าไปทุกที
การเมืองคือศาสตร์และศิลป์
    เราจะต้องหัดคิดเสียใหม่หรือไม่ ว่าอันการเมืองในความหมายสูงสุดนั้น ก็คือศาสตร์และศิลป์แห่งการสร้างความเป็นไปได้ให้เกิดแก่บ้านเมือง มหาเธร์และอันวาร์ เป็นศัตรูเก่า จากคนละจุด ยังยื่นมือเข้ามาจับกัน จนชนะการเลือกตั้งเอานายกฯ นาจิบออกจากอำนาจได้ หรืออีกตัวอย่างคือ คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ ยื่นไมตรีให้จีนมิตรที่ห่างเหินไปมาก และอเมริกาศัตรูที่เตรียมห้ำหั่นกันทุกเวลานาที และที่สุดเขาข้ามเส้นขนานที่ 38 ไปจับมือกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้อีกฝั่งหนึ่งได้ นี่คือการเมืองสร้างสรรค์ พร้อมเริ่มต้นใหม่ พร้อมจะลืมความขมขื่น ความขัดแย้ง ที่จริง ขนาดลืมสงครามที่แต่ละฝ่ายเหนือ-ใต้เคยตายมาแล้วเป็นล้าน
    ทำอย่างไรเราจะคิดใหม่ได้ ลืมภาพอสูรและนรกแห่งอดีต พูดใหม่ได้ พูดถึงสวรรค์ได้ให้สัญญาใหม่ได้ ว่าจะนำประเทศไทยที่เคยแตกแยกกันมาร่วมทศวรรษให้กลับคืนมาสู่สันติภาพได้
    ผมเชื่อว่า ทุกสี ทุกฝ่าย ทุกพรรค เล็งเห็นการเมืองแบบใหม่ การเมืองเพื่อความสมัครสมาน ได้ นักการเมืองกับพรรคการเมืองของเราจะต้องร่วมกันเป็นผู้นำในการรู้รักสามัคคี ทำให้ประเทศไทยของเราออกจากความมืดมน ความท้อแท้ และความชิงชัง ให้บ้านเมืองเราได้ตลบอบอวลไปด้วยความหวัง ให้ประชาชนได้เห็นแสงสว่าง ทำให้พระเจ้าอยู่หัวของเราสบายพระทัยว่าในรัชสมัยใหม่ของพระองค์ประเทศไทยต้องสงบสันติ และถ้าเราช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่งมิตรไมตรี ที่ประชันขันแข่งกันเพียงเพื่อทำความดี เสนออะไรที่ดีแก่บ้านเมือง เมื่อนั้น ผมมั่นใจว่าทุกสีทุกฝ่าย-พรรค ย่อมจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม"
    นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษาแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ว่า เป็นไปไม่ได้ที่นายสุเทพจะยุติบทบาททางการเมือง เพราะสิ่งที่นายสุเทพแสดงออกมาก่อนหน้านี้ คือการแสดงบทบาทในแต่ละเวที ซึ่งทุกเวทีล้วนต่างกันออกไป เช่น การตั้งพรรคการเมือง เป็นเรื่องที่นายสุเทพจำเป็นต้องทำ เพราะยังต้องการมีพลังต่อรองทางการเมืองอยู่ 
    เธอบอกว่า ก่อนหน้านี้ นายสุเทพวางตัวจะเป็นกองหนุนสำคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการจะขับเคลื่อนการเมืองด้วยตัวเอง นายสุเทพจึงต้องตั้งพรรคขึ้นมา ที่สำคัญนายสุเทพจะกลับไปมีบทบาทในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ เพราะจะมีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญ และคนในพรรค ปชป.เอง ก็คงไม่ยอม จึงจำเป็นต้องตั้งพรรค 
"สุเทพ"โนบอดี้
    "แต่ในทางการเมือง พรรค ปชป.กับ รปช.สามารถรวมกันได้ที่จะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ การตั้งพรรคของนายสุเทพนั้น ทำเพื่อตัวเอง เพราะถ้าไม่ตั้ง นายสุเทพก็จะหายไป กลายเป็นโนบอดี้” 
    นางธิดากล่าวถึงกรณีที่นายสิระ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดงสกลนคร ก่อตั้งพรรคเพื่อนไทยว่า เป็นการตั้งพรรคในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับ นปช. เพราะทุกคนที่คิดว่ามีอุดมการณ์ก็สามารถตั้งพรรคการเมืองได้ทั้งนั้น ที่แล้วมานายสิริไม่ได้เป็นแกนนำ นปช. แต่เป็นคนที่ไปร่วมกับชุมนุมกับคนเสื้อแดง และก็ไม่ได้รู้จักกันในนามส่วนตัว 
    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการตั้งพรรคครั้งนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย แม้นายสิริจะบอกว่ามีอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยเข้าร่วมกว่า 30 คน และไม่คิดว่าการตั้งพรรคการเมืองนี้จะแย่งฐานเสียงจากพรรคเพื่อไทย เพราะหากได้สอบถามคนเสื้อแดงในจังหวัดสกลนคร ก็จะเห็นว่านายสิริไม่ได้มีบทบาทมากนัก แต่ก็ต้องดูต่อไปว่าพรรคนี้จะไปได้ไกลเพียงใด
    นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เตรียมเดินทางลงพื้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จ.พิจิตร และ จ.นครสวรรค์ ว่าการลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร รัฐบาลไปมาแล้วหลายภูมิภาค ครั้งนี้ไป จ.นครสวรรค์ เป็นการตระเวนใกล้ชิดประชาชน เหมือนซ้อมภาคปฏิวัติในวันที่จะเป็นนักการเมือง เพื่อให้ภาพออกมาดูดีไม่เคอะเขินในวันข้างหน้า และที่ไปมาแต่ละที่มีคนรอให้การต้อนรับจำนวนมาก
    "ก็ไม่รู้มาด้วยใจหรือมีคนกะเกณฑ์ให้มา ตรงนี้จะรู้เมื่อถึงวันเลือกตั้ง เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงคะแนนโดยลับ เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพในการตัดสินใจ หลังจากนี้จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง คงมีการลงพื้นที่เช่นนี้บ่อยมาก ส่วนประเด็นการดูดผู้สนับสนุนนั้น มองว่าการจะดูดคนสนับสนุนไม่จำเป็นต้องจัด ครม.สัญจร อยู่ที่ไหนก็ดูดได้ เพราะมีข่าวให้เห็นอยู่เนืองๆ" นายสามารถกล่าว
ดูด ส.ส.สอบตก
       ขณะที่นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เป้าหมายการลงพื้นที่คงเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คือการพบปะประชาชน ถามความเป็นอยู่ แล้วออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อผูกใจประชาชน เพราะหวังผลคะแนน รวมถึงการเชิญผู้นำท้องถิ่น นักการเมืองในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียง เช่น จ.พิจิตร จ.นครสวรรค์ จ.สุโขทัย จ.กำแพงเพชร จ.อุทัยธานี ทั้งระดับจังหวัดและประเทศเข้าพูดคุยถึงปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ และอาจมีนัยถึงการเตรียมการเลือกตั้งในอนาคต เพราะชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการลงทำการเมืองต่อ มองว่าอดีต ส.ส.เดิมที่มีพื้นที่มั่นคง จะไม่เปลี่ยนพรรคเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่คนที่จะไปให้การสนับสนุนนั้น คงเป็นคนที่ไม่มีพื้นที่ อดีตผู้สมัครที่สอบตก หรืออดีต ส.ส.ที่ห่างหายเวทีไปนานเท่านั้น
    นายภราดร ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงความชัดเจนที่รัฐบาล คสช.นัดนักการเมืองหารือช่วงเดือนมิถุนายนนี้ว่า เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าการนัดประชุมนักการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองแล้ว รัฐบาลและฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะนำข้อหารือที่ได้ไปปฏิบัติและดำเนินการเพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย ไม่ใช่เพียงการนัดประชุมเพื่อสร้างภาพ หรือเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งทางการเมืองเท่านั้น 
    อย่างไรก็ดี ยอมรับว่านักการเมืองมีหลายประเด็นที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน อาทิ การปลดล็อกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองและการจัดประชุม และการอนุญาตให้พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่สามัญเพื่อเลือกกรรมการบริหารและจัดตั้งสาขาพรรค รวมถึงการหาสมาชิกพรรคการเมืองที่ต้องให้ได้จำนวนตามเกณฑ์ของกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาผู้สมัคร ส.ส. หรือไพรมารีโหวต ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดไว้
    เขากล่าวว่า พรรคการเมืองจำเป็นต้องเร่งเตรียมความพร้อมให้เป็นไปตามกฎหมาย เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้ อาจกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ว่าพรรคการเมืองทำตามกฎหมายไม่ครบถ้วน และอาจจะส่งผลกับพรรคการเมืองได้ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง 
    "ผมมองว่าการปลดล็อกให้พรรคการเมืองถือเป็นการสร้างประโยชน์ให้พรรคได้เตรียมพร้อมเข้าสู่ระบบเลือกตั้ง อย่าไปกังวลว่าการเปิดโอกาสให้พรรคได้จัดประชุมใหญ่หาสมาชิกพรรค คือการเปิดโอกาสให้หาเสียงแข่งกับพรรคประชารัฐ หรือจะเกิดความวุ่นวาย หรือความไม่สงบ ตามที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ คสช.ไม่ยอมปลดล็อกหรืออนุญาตให้พรรคได้ทำกิจกรรม" 
ไพบูลย์ยันหนุนบิ๊กตู่
    นายภราดรยังกล่าวถึงกระบวนการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่ กกต.ไม่สามารถทำงานได้ล่วงหน้าว่า เข้าใจว่า กกต.ชุดปัจจุบันมีความอึดอัดใจไม่น้อย เพราะปัจจุบันสถานะของ กกต. เป็นเพียง กกต.รักษาการ และรอ กกต.ชุดใหม่ที่อยู่ระหว่างการสรรหา ตามกระบวนการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดังนั้น เมื่อเตรียมดำเนินการใดๆ อาจทำให้เป็นปัญหาว่าสิ่งที่ทำไปนั้นอาจถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงไปภายหลัง 
    "ทางที่ดีเพื่อให้การเตรียมพร้อมการเลือกตั้งทำได้ทัน หาก กกต.ยังกังวลเรื่องของนักการเมืองที่จะเข้าให้ความเห็นเรื่องแบ่งเขต อาจใช้ช่องทางของข้าราชการในพื้นที่ให้ข้อมูลเรื่องการแบ่งพื้นที่ที่เหมาะสมกับการแบ่งเขตเลือกตั้งก่อนได้" แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนากล่าว
    นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เปิดเผยว่า ขณะนี้พรรคมีสมาชิกเพิ่มเติมอีกมากกว่า 1,500 คน ดังนั้นจึงจะมีการจัดประชุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 10 มิถุนายน เวลา 10.00 น. เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติมเป็น 30 คน จากเดิม 27 คน รวมทั้งมีการปรับปรุงข้อบังคับพรรค พร้อมทั้งประกาศอุดมการณ์เพิ่มเติม จาก 3 ข้อ คือ 1.ทำตามแผนปฏิรูปเพิ่มอำนาจให้ประชาชน เช่น ให้มีสภาปฏิรูปทุกจังหวัด 2.ปฏิรูปกิจการปกครองคณะสงฆ์ และการจัดการทรัพย์สินวัดและพระภิกษุให้เป็นไปโดยโปร่งใส และ 3.ปฏิรูปพรรคการเมือง และนักการเมือง โดยให้การเลือกบุคคลเป็นระบบคุณธรรมแทนระบบอุปถัมภ์
       ทั้งนี้ สำหรับในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี พรรคยังยืนยันจุดยืนเดิมคือ จะเลือกโดยใช้ระบบคุณธรรม มีความเป็นกลาง ดังนั้นจึงจะยังคงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปเหมือนเดิม
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ลาออกเพื่อไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมพลังประชาชาติไทยว่า เมื่อนายเอนกลาออกไป ก็ต้องหาคนมาเป็นประธานแทน ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนเคยบอกว่าภารกิจทำแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ หลังจากนั้นภารกิจต่อไปก็คือการนั่งจับผิดคน ซึ่งบางคนไม่ถนัดจะขอลาออกได้หรือไม่ แล้วค่อยตั้งคนอื่นมาแทน เพราะไม่ถนัดในงานที่ต้องจับผิดคน ซึ่งสามารถเป็นอย่างนั้นได้ และตนยินดี 
    ทั้งนี้ มีคนที่ประสงค์จะลาออกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้อยากจะเล่นการเมืองต่อ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเข้ามาแทนที่ว่างแล้ว ไม่เฉพาะตำแหน่งประธานเท่านั้น ยังต้องแต่งตั้งกรรมการของแต่ละคณะเพิ่มอีก 5 คน เพื่อให้ครบจำนวน 15 คน เนื่องจากต้องเริ่มต้นทำภารกิจใหม่ เช่น เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ ที่ต้องมีการทำแผนแม่บท ถือเป็นเรื่องที่ยากมาก หรืออย่างเรื่องปฏิรูป ที่ต้องคอยติดตามกระทรวงต่างๆ
แจงคืนเก้าอี้ อบจ.
    “ผมไม่ตอบว่าเสียดายที่คุณเอนกลาออกไปหรือไม่ ถ้าตอบว่าเสียดาย ก็จะถูกหาว่าฝักใฝ่อะไรแบบนี้ หรือถ้าตอบว่าไม่เสียดาย ก็จะถูกมองว่าวิษณุตะเพิดไล่ส่ง การเข้าสู่วงการการเมือง ถ้าถือเป็นการช่วยชาติ ก็ถือว่าไปช่วย แต่ถ้าถือว่าเป็นเวรกรรม ก็กรรมใครกรรมมัน ผมเห็นใครจะลงสมัครผู้แทนฯ ผมก็จะบอกว่าเป็นกรรมของคุณ” นายวิษณุกล่าว
    รองนายกฯ ยังให้สัมภาษณ์กรณีคำสั่งนายกรัฐมนตรีคืนตำแหน่งให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ถูกตรวจสอบว่า เมื่อได้รับการคืนตำแหน่ง ก็จะมีอำนาจเต็มเหมือนเดิมทุกอย่าง และจะได้รับการขยายวาระการดำรงตำแหน่งต่อไปเหมือนนายก อบจ.คนอื่นๆ ตามคำสั่ง คสช.ที่ได้รับการขยายวาระก่อนหน้านี้ ซึ่งหลังจากนี้จะทยอยคืนตำแหน่งให้กับผู้ถูกพักงานตามคำสั่งหัวหน้า คสช. 
    เพราะขนาดนี้ยังมีรายชื่ออีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยทั้ง 4 รายที่คืนตำแหน่งให้นั้น มีการรายงานผลตรวจสอบมาว่ารายหนึ่งไม่มีความผิด อีกรายมีความผิดเล็กน้อย ซึ่งก็ได้ตักเตือนไปแล้ว ส่วนอีกรายศาลยกฟ้อง และรายสุดท้ายเป็นการกระทำผิดก่อนหน้านี้ จนหมดวาระ และได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอีก 2 ครั้ง ฉะนั้นการจะไปลงโทษพักงานเขาด้วยเหตุผลเช่นนี้อาจจะไม่ถูกต้อง ขณะเดียวกันรายอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาก็มีลักษณะเช่นนี้ด้วย  
    นายวิษณุกล่าวต่อว่า เราจะพยายามตรวจสอบในส่วนที่ศาลยกฟ้อง และรายที่สอบสวนแล้วไม่มีความผิดก่อน ซึ่งตัวเลขเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกพักงานทั้งหมดมีประมาณ 300 คน คืนตำแหน่งไปแล้วหลายสิบคน และเข้าใจว่าจนถึงขณะนี้ผู้นำท้องถิ่นทั่วประเทศน่าจะครบวาระหมดแล้ว หากจะให้เลือกตั้งใหม่ทั้งประเทศก็ได้ แต่อาจจะเลือกตั้งเฉพาะ อบจ.หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือพื้นที่ที่จะไม่กระทบการแบ่งเขตก่อนก็ได้
    ด้านนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 กล่าวว่า ตนเห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาได้เสนอความเห็นในกรณีนี้มาโดยตลอด หากพิสูจน์ได้ว่าใครผิด ก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย ใครไม่ผิดก็ควรคืนความยุติธรรมเขาไป น่าจะเป็นผลดี ยิ่งวันนี้ใกล้สู่ช่วงเลือกตั้งท้องถิ่นแล้ว แต่ละคนจะได้มีเวลาเตรียมตัว มิเช่นนั้นก็ถูกคู่ต่อสู้ในพื้นที่หยิบกรณีดังกล่าวมาโจมตีอยู่ตลอด จึงอยากให้เร่งดำเนินการในส่วนที่เหลือให้เสร็จภายในรัฐบาลนี้ 
    เขากล่าวว่า นอกจากนายก อบจ.แล้ว ยังมีนายก อบต. นายกเทศมนตรี รวมไปถึงข้าราชการจำนวนมากที่ยังรอการพิสูจน์ตัวเองตามคำสั่งพักงานอยู่ ส่วนฝ่ายการเมืองมองว่าเป็นการเตรียมพร้อมของรัฐบาลคสช.สู่การเลือกตั้งใหญ่โดยใช้นักการเมืองท้องถิ่นเป็นฐานเสียงหรือไม่นั้น ตนคิดว่าไม่เกี่ยวกัน เรื่องนี้เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องรีบดำเนินการให้ความเป็นธรรมแก่เขา บางคนถูกพักงานมาเกือบ 3 ปีก็มี จะได้มีเวลาพิสูจน์ตัวเองก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ใกล้จะมาถึง.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"