อารมณ์ขุ่นๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกันมาตลอดสัปดาห์ สำหรับ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเฉพาะวรรคทองเที่ยวล่าสุด
“ไม่ได้อารมณ์เสียอะไร ก็อารมณ์แบบนี้ ความเป็นมนุษย์ไง ผมก็ต้องให้รู้ว่านี่คือความเป็นมนุษย์ของตนเอง นายกรัฐมนตรีไม่ใช่เทพเทวดา มนุษย์จะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ ถ้าเป็นเทวดามันไม่รู้หรอก พอแล้ว เบื่อ”
ขณะที่การให้สัมภาษณ์สื่อ หรือไปปาฐกถาพิเศษเวทีไหน มักจะให้มีการสอดแทรกคิวระบายความอัดอั้นตันใจลงไปด้วย
ทำเอางงกันไปหมด เพราะมองสถานการณ์การเมืองในภาพรวมในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรที่คอขาดบาดตาย ถึงขนาดทำให้ “บิ๊กตู่” อยู่ในภาวะเหมือนกินรังแตนขนาดนี้ อีกทั้งตัวบทกฎหมายที่เสี่ยงว่า จะส่งผลให้ต้องเขยื้อนโรดแมปกันอีกรอบก็ไม่ได้มีปัญหา
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทุกฉบับที่คลุมเครือออกมาว่า ไม่ขัดต่อบัญญัติรัฐธรรมนูญชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา, ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร
หรือแม้แต่กรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้วินิจฉัยคำสั่งหัวหน้า คสช.กับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เรียกว่าผ่านฉลุย ลู่วิ่งไปสู่สนามเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2552 โล่งเตียน ไม่มีอะไรให้กังวลว่าจะสะดุด
1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หน้าสื่อมีแต่ข่าวเรื่อง จับสึกสงฆ์ คดีเงินทอนวัด ที่กลบฉากการเมืองระหว่าง คสช.กับฝ่ายการเมืองไปได้แทบสนิท
เรื่องใกล้ตัวเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลมากที่สุด น่าจะมีเรื่องเดียวคือ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ส่งเรื่องการถือหุ้นเกิน 5% สูงกว่ากฎหมายกำหนด ของภรรยานายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เพื่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติ
ถ้าบอกว่า เหวี่ยงไม่พอใจที่ กกต.ลงมติแบบนี้ ด้วยสไตล์ “บิ๊กตู่” ที่ตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน น่าจะมีหลุดคำตำหนิ คำต่อว่า คำถากถางฝั่ง กกต.ให้เห็นบ้างแล้ว
อีกอย่างดูทรงรัฐบาลไม่ค่อยวิตกอะไรมากนัก โดยเฉพาะคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดอย่าง “รมว.ดอน” ที่ยังยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้แสดงอาการให้เห็นว่าเครียด
นอกจากนี้ ประเด็นภรรยาถือหุ้นเกิน 5% ของ รมว.ต่างประเทศ ไม่ได้เป็นข่าวโครมครามชนิดสร้างความกดดันให้รัฐบาล เหมือนกับตอนเกิดเรื่องอุทยานราชภักดิ์ของ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร อดีต รมช.กลาโหม หรือกรณีนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
เป็นรัฐมนตรีฝ่ายพลเรือน ที่ไม่ได้อยู่ในข่าย “สายล่อฟ้า” ค่อนข้างสุขุมนุ่มลึกตามสไตล์ “ทูตเก่า” จะมีพลาดมาบ้างตรงเรื่องของการหลุดปากให้ไปถามหาสปิริตจากนักกีฬา แต่เป็นดรามาแค่วันสองวันก็เริ่มสร่างซากันลงไปแล้ว
ปะติดปะต่อคำให้สัมภาษณ์ ผนวกกับประเด็นที่ “เสธ.ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาตักเตือนพวกบิดเบือนข้อมูลในโลกโซเชียลมีเดียแบบถี่ เรื่องสงครามไซเบอร์น่าจะมีความเป็นไปได้เหมือนกัน
“มีความพยายามของคนบางกลุ่มที่ต้องการนำข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน ไม่ถูกต้อง หรือนำเสนอเพียงบางช่วงบางตอน มาเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดและลดความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เพราะใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว”
นอกจากนี้ในวันเดียวกันที่ “บิ๊กตู่” ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองไม่ใช่เทวดา “เสธ.ไก่อู” ก็มาร่อนคำชี้แจงเรื่องที่มีนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังทำคลิปล้อเลียนว่า นายกฯ ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ฝากตำหนิไปยังครูบาอาจารย์ที่มอบหมายให้เด็กทำคลิปดังกล่าว
ภาวะ “กินรังแตน” ของ “บิ๊กตู่” น่าจะมาจากเรื่องพวกนี้!
เนื่องจากระยะหลังๆ ในโลกโซเชียลมีเดีย มีการนำข้อมูลของ “บิ๊กตู่” และ “รัฐบาล” ไปล้อเลียน หรือไปบิดเบือนกันอย่างกว้างขวาง
ผสมกับทีมไซเบอร์จากฝั่งตรงข้ามที่ทำมานานอยู่แล้ว ก็กัดไม่ลดละ “บิ๊กตู่” ที่จัดว่าเป็น นักท่องโซเชียล ตัวยง คงไปเห็น ไปเสพอะไรแบบนี้มาเยอะ
เป็นที่รู้กัน “บิ๊กตู่” นั้นให้ความสนใจโลกโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก มีการติดตามข้อมูลข่าวสารจากสื่อกระแสหลัก และบรรดาเพจทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรื่องคลิป เรื่องภาพล้อเลียนที่มีปริมาณมาก อย่างไรก็ย่อมต้องผ่านสายตา
ผนวกกับนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบให้ใครมาว่า มาโจมตี มาวิพากษ์วิจารณ์ พอเจออะไรแบบนี้ ย่อมต้องรู้สึก ปรี๊ดแตก ตามธรรมชาติของมนุษย์ เหมือนที่ระบายออกมาผ่านสื่อว่า “ผมไม่ใช่เทวดา”
เรื่องพวกนี้ทุกคนย่อมเข้าใจ แต่อีกทางหนึ่งก็ต้องคำนึงว่า ในฐานะนายกฯ ย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกล้อเลียนอะไรทำนองนี้ได้เหมือนกัน
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกระทำในลักษณะเดียวกันเช่นนี้ไม่น้อยไปกว่า หรือจะมากกว่า “บิ๊กตู่” เสียด้วยซ้ำ
แต่น้อยครั้งที่จะถึงขั้นนำมาฟ้องร้อง หรือเก็บมาใส่ใจจนไม่เป็นอันทำงาน หากเก็บทุกเม็ดทุกดอก คงไม่สามารถขับเคลื่อนงานไปข้างหน้าได้เช่นกัน
เรื่องการโจมตีฝ่ายตรงข้าม นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว ไม่ได้มาเกิดขึ้นในยุคของ คสช. หากแต่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจในบริบท และธรรมชาติทางการเมือง ไม่ได้เอาเรื่องบางเรื่องที่ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมายจนทำให้สะดุด
ขณะเดียวกัน หาก “บิ๊กตู่” จะไปห้ามความรู้สึกนึกคิด และทัศนคติของคน หรือห้ามคนวิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียนผู้นำที่ “บิ๊กตู่” บอกต้องให้เกียรติตำแหน่ง
นั่นแหละอาจโดนค่อนแคะได้ว่า กำลังทำตัวเป็น “เทวดา” เสียเอง จะกลายเป็นคนที่แตะต้องและเข้าถึงไม่ได้ ทั้งที่เป็น “บุคคลสาธารณะ” ซึ่งไม่ส่งผลดีแน่
ปัญหานี้แก้ได้ที่ตัว “บิ๊กตู่” เอง โดยเลือกเสพเฉพาะอะไรที่มีประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
หงุดหงิด คุกรุ่น จากการทำงาน จากภาระที่แบกอยู่ สาธารณชนย่อมเข้าใจในความเป็นมนุษย์ แต่การเก็บเล็กเก็บน้อย ให้เหมือนแตะต้องไม่ได้ อาจทำให้ถูกมองในเชิงลบมากกว่า อย่าลืมว่า ในโลกโซเชียลมีเดียไม่ได้มีเฉพาะ “ฝ่ายต้าน” หากแต่ก็มีกลุ่มคนที่สนับสนุน “บิ๊กตู่” และรัฐบาลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ถ้า “ก้าวข้าม” เรื่องดังกล่าว และเข้าใจในวิถีการเมืองได้ นอกจากไม่ทำให้ตัวเอง หงุดหงิดใจ ยังจะสะท้อนถึง ภาวะผู้นำ ที่ใจกว้าง เปิดรับฟังความเห็นที่แตกต่างกับตัวเอง นั่นคือ “เกียรติ” ของนายกฯ อีกอย่างที่สำคัญ
4 ปีที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” ว่าหนักหนาแล้ว หากมีเทอมที่สอง ตอนนั้นพรรคการเมืองขยับแข้งขยับขาได้มากกว่าเก่า แถมไม่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไว้คอยปรบมือ หรือตั้งใจฟังเหมือนที่เป็นอยู่
มีแต่ ส.ส.เหลี่ยมคูแพรวพราว กับตระกูลปากจัด ถึงเวลานั้นหนักกว่านี้เยอะ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |