รัฐบาลเวียดนามใช้มาตรการล็อกดาวน์ภาคใต้ทั้งภาคนาน 2 สัปดาห์เริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนวันอาทิตย์นี้ ครอบคลุมประชากรราว 1 ใน 3 ของประเทศ หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีมากกว่าวันละ 3,000 คนต่อเนื่องเป็นวันที่ 3

    รายงานของเอพีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมกล่าวว่า พื้นที่ที่รัฐบาลเวียดนามสั่งล็อกดาวน์เพิ่มเติมนาน 2 สัปดาห์นี้มีผลบังคับใช้กับประชากรมากกว่า 35 ล้านคน รวมถึงในภูมิภาคดินดอนสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำโขง และนครโฮจิมินห์ ที่เป็นศูนย์กลางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ เจ้าหน้าที่กล่าวกันว่า พวกเขาต้องดำเนินการเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประเทศทะลุ 50,000 รายแล้ว นับตั้งแต่เกิดการระบาดรอบใหม่เมื่อปลายเดือนเมษายน โดยผู้เสียชีวิตรวม 225 คนนั้น มีถึง 190 คนที่เสียชีวิตในการระบาดรอบนี้

    นครโฮจิมินห์ซิตีที่เป็นศูนย์กลางที่มีการแพร่เชื้อเพิ่มสูงขึ้น อยู่ภายใต้การล็อกดาวน์เต็มรูปแบบมาได้ 1 สัปดาห์แล้ว หลังจากมีผู้ติดเชื้อรายใหม่นับร้อยคนเมื่อเดือนพฤษาคม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ของเวียดนามอยู่ที่โฮจิมินห์เป็นส่วนใหญ่ โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละมากกว่า 2,000 คน

    นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ กล่าวขณะประกาศมาตรการล็อกดาวน์เมื่อวันอาทิตย์ว่า สถานการณ์กำลังร้ายแรงโดยอัตราการติดเชื้ออยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาที่อันตราย รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก

    ตามคำสั่งของรัฐบาลเวียดนามจะห้ามการรวมตัวเกิน 2 คนในสถานที่สาธารณะ ยกเว้นภายในที่ทำการของรัฐบาล, โรงพยาบาลและธุรกิจที่จำเป็นไม่กี่แห่ง ประชาชนสามารถออกจากบ้านได้เฉพาะการซื้อสินค้าจำเป็นเช่นอาหาร, ยา หรือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

    หวู ดึ๊ก ดาม รองนายกรัฐนตรี ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการป้องกันการระบาดของโควิด-19 กล่าวว่า คำสั่งล็อกดาวน์จะต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวด เนื่องจากการระบาดรอบใหม่นี้แพร่ไปถึง 57 เทศบาลและจังหวัด จากทั้งหมด 63 แห่งของประเทศแล้ว ในขณะที่วัคซีนมีอยู่จำกัด

    "เราต้องรักษาอัตราการแพร่เชื้อให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสุขภาพทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องแบกรับภาระหนักเกินไป" เขากล่าว

    ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข เวียดนามเพิ่งได้รับวัคซีนแค่ประมาณ 6 ล้านโดส จาก 124 ล้านโดสที่ต้องได้รับผ่านโครงการโคแวกซ์และการสั่งซื้อโดยตรงจากบริษัทผู้ผลิตหลายแห่ง

    ถึงขณะนี้มีประชาชนเวียดนามได้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสแล้วมากกว่า 4 ล้านคน โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 ของประชากรภายในสิ้นปีนี้.