17 ก.ค.64 - นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และผู้ร่วมก่อตั้งไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย กล่าวว่าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มีภาวะผู้นำสูงมาก เป็นภาวะผู้นำประเทศไปสู่ความฉิบหายและหายนะอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อต่อวันมากกว่า 1 หมื่นคนแล้ว และเสียชีวิต 141 คน เท่ากับทุก 10 นาทีจะมีคนป่วยโควิดตาย 1 คน และยอดผู้ป่วยโคม่าที่พุ่งสูงนั้น อาจจะทำให้มีคนป่วยตายอีกวันละเป็นพันคนแน่ๆ หากรัฐยังล้มเหลวแบบนี้ หลายคนยังนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน ไม่มีหมอ ไม่มียา ไม่มีเตียง และไม่มีใคร
มาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวของรัฐบาล 14 วันนั้น จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล เพราะเป็นมาตรการที่รุนแรงสูงสุดและสุดท้ายแล้ว หลังวันที่ 26 กรกฎาคมเป็นต้นไปหากตัวเลขไม่ลดลง รัฐก็จะเผชิญสถานะล้มเหลวอย่างรุนแรงและจะไม่มีข้ออ้างที่จะบริหารบ้านเมืองอีกต่อไป เพราะนับวันยิ่งอยู่ประเทศยิ่งแย่ลง การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์ ก็คือการเพิ่มมาตรการควบคุมสูงสุดเพื่อลดการเคลื่อนไหว ปิดกิจกรรมและกิจการทุกอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เกิดขึ้นในวันนี้
แต่มาตรการดังกล่าวเหมือนกับต้องการสกัดกั้นประชาชนไม่ให้ออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลมากกว่า โดยห้ามการชุมนุมหรือการทำกิจกรรมที่รวมกันเกิน 5 คน อย่างเด็ดขาดตั้งแต่คืนวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น นับเป็นกฎเหล็กที่คุมทั้งโควิด คุมทั้งม็อบ และต้องการสกัดคาร์ม็อบที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศหลัง 14 วันสุดท้ายที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของประชาชนหากรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ที่ต้องการล็อคดาวน์ประยุทธ์ เพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ล็อคดาวน์ประเทศเพื่อรักษาประยุทธ์
นับเป็นโอกาสที่ดีที่เจ้าสัวซีพีและมหาเศรษฐีอีกหลายคนเริ่มกลับใจไม่สนับสนุนเรือที่กำลังล่มอยู่ เพราะพายุลูกใหญ่กำลังจะมา ด้วยความอาลัยต่อคุณณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจเพื่อสังคม และอีกหลายคนที่ต้องมาเสียชีวิตไปเพราะโควิด นักธุรกิจและมหาเศรษฐีจะต้องออกมาเคลื่อนไหวเพื่อชาติบ้านเมืองให้มากขึ้น เพราะประเทศไทยใจดีให้เสรีทางเศรษฐกิจเต็มที่โดยไม่มีการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้าเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้นายทุนมหาเศรษฐีผูกขาดความร่ำรวยจากส่วนเกินจนเหลื่อมล้ำถึงที่สุด โดยรัฐไม่กำกับดูแลแต่เหมือนประเคนให้ ทุนผูกขาดรายใหญ่รวยขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี การทำ CSR คืนให้สังคมแค่ 1,200 ล้านบาทก็เพียงแค่ 1% ของรายได้เท่านั้น ท่านจึงยังติดหนี้บุญคุณแผ่นดินอีกมาก
ปัญหาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กว่า 7 ปีที่ผ่านมาคือบริหารเศรษฐกิจโดยเน้นน้ำหนักการทำนโยบายการเงินไว้ที่ตลาดเสรีโดยใช้แนวคิดทฤษฎีแบบเสรีนิยมใหม่ แต่ไม่ได้สนใจนำแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยมาปรับใช้ทางเศรษฐกิจเหมือนประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป ที่เห็นว่าตลาดเสรีมันมีปัญหาล้มเหลวเพราะระบบและข้อมูลข่าวสารระหว่างคู่แข่งทางเศรษฐกิจมันเหลื่อมกันมาก รัฐจึงต้องเข้ามาแก้ไขจัดการกับกลไกตลาดที่อ้างกันว่าเสรี ให้เป็นจริงและเป็นธรรมมากที่สุด โดยต้องควบคุมทุนเก็งกำไรให้มากขึ้น ไม่ให้เกิดการแบ่งแยกความมั่งคั่งของประชาชนอย่างชัดเจนเช่นในปัจจุบัน
นอกจากการจัดการโควิดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ และพวก จึงล้มเหลวในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน พวกเขาจึงไม่สนใจที่จะล็อคดาวน์ดอกเบี้ยและหนี้สินของประชาชนจากสถาบันทางการเงินนอกจากให้เลื่อนการชำระออกไป และยังเพิกเฉยต่อการเอาเปรียบขูดรีดประชาชนจากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากของภาคการเงินการธนาคารที่สูงมากใน 7 ปีที่ผ่านมา แม้แต่บริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิตก็ยังใช้โอกาสนี้ในการเก็งกำไรจากปัญหาสุขภาพของประชาชนจนก้าวกระโดดเติบโตอย่างมั่งคั่ง แ่ต่รัฐบาลไม่ได้สนใจกำกับดูแลและควบคุมกลไกตลาดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนเลย กลับกันกลับให้นายทุนเข้ามาผูกขาดหากำไรส่วนเกินจากสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประเทศอีกด้วยซ้ำ
"อีกความหวังริบหรี่ก่อนประเทศหายนะนั้น ยังมีอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร ผมยังมีความหวังว่าหากฝ่ายค้านมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยเร็วที่สุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดร่วมใจลงมติไม่ไว้วางใจให้พล.อ.ประยุทธ์ บริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป จะสามารถทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที โดยใช้กลไกสภาผู้แทนราษฎรเป็นทางออกให้ชาติบ้านเมือง จัดการกับผู้นำที่ไร้จิตสำนึก เพียงแต่ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเห็นแก่ลาภยศเงินตรา หรือชาติบ้านเมือง."
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |