หลังเปิดตัวมาได้ร่วมสัปดาห์ ความเคลื่อนไหวหลักๆ ของแกนนำ-คีย์แมน พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ยังไม่ปรากฏมูฟเมนต์ใหญ่ๆ จะมีก็แต่การเคลื่อนไหวของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่หลังเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรค ผู้ให้การสนับสนุนการก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ก็โดนหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่กองเชียร์ กปปส.เดิมก่อนหน้านี้ ที่ไม่เห็นด้วยกับบทบาทของสุเทพและอดีตแกนนำ กปปส.ในการทำพรรค รปช. 
โดยลึกๆ แล้วตัวสุเทพและแกนนำพรรค รปช.คงคาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเจอสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงตั้งรับรอให้ผ่านพ้นสถานการณ์ช่วงนี้ไปก่อน แล้วค่อยเปิดฉากขยับขับเคลื่อนพรรคในระนาบใหญ่ หลัง กกต.ให้จดแจ้งใช้ชื่อพรรค รปช.ได้ หลังจากนั้นก็จะมีการประชุมใหญ่สมาชิกพรรคเพื่อโหวตเลือกกรรมการบริหารพรรคอย่างเป็นทางการต่อไป 
แต่ในรอบสัปดาห์ภายหลังสุเทพเปิดตัวหนุนพรรค รปช. ก็พบว่าเมื่อ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวและภาพของสุเทพไปปรากฏตัวพบกับชาวสันติอโศกที่ จ.อุบลราชธานี โดยมีสมณะโพธิรักษ์คอยต้อนรับ  สื่อรายงานว่าการเดินทางไปดังกล่าวเพื่อร่วมแสดงมุทิตาจิต เนื่องในวันคล้ายวันเกิดสมณะโพธิรักษ์  รวมถึงได้มีการพูดคุยกับชาวสันติอโศกถึงเรื่องการเมือง การตั้งพรรค รปช.ด้วย ข่าวว่าในงานดังกล่าว มีอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, อดีตแนวร่วม กปปส.ที่อยู่สายสันติอโศก และคนของกองทัพธรรมหลายคนไปร่วมงานด้วย 
นับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อยของสุเทพ กับการเดินสายสร้างพันธมิตร หาแนวร่วมการเมืองกลุ่มต่างๆ ในลักษณะรุกคืบทีละน้อย แต่คงหวังผลยาวในช่วงที่กำลังรอให้พรรค รปช.เกิดขึ้นอย่างเต็มตัว และรอการปลดล็อกของ คสช.ที่ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ ก็ใช้ช่วงนี้ผูกสัมพันธ์กับคนกลุ่มต่างๆ เอาไว้เป็นแนวร่วมไปพลางๆ ก่อน 
สำหรับประเด็นที่หลายคนอยากรู้ เช่น พรรค รปช.พร้อมจะจับมือกับพรรค ปชป.ในการตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งหรือไม่, พรรค รปช.จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังเลือกตั้งให้กลับมาเป็นนายกฯ หรือไม่?
จะพบว่าเป็นคำถามที่แกนนำพรรค รปช.สงวนท่าทีที่จะตอบสื่อ โดยบอกเพียงว่าเป็นเรื่องที่ไกลเกินไป พรรคยังไม่มีกรรมการบริหาร ยังเพิ่งตั้งพรรค ท่าทีดังกล่าวจึงเร็วเกินไปที่จะแสดงออกในตอนนี้  แต่ก็พบว่าในบางคำตอบที่แกนนำให้สัมภาษณ์สื่อ หากถอดความระหว่างบรรทัดก็มีนัยทางการเมืองที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย 
เช่นคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเขาคือ ว่าที่หัวหน้าพรรค รปช. โดยให้สัมภาษณ์สื่อที่เผยแพร่เมื่อ 3 มิ.ย.ไว้ตอนหนึ่ง กับคำถามที่ว่า พรรค รปช.พร้อมจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์หรือไม่? 
คำตอบก็คือ "พรรคตั้งขึ้นโดยไม่ได้เริ่มต้นจากว่าจะทำพรรคเพื่อสนับสนุนใคร เพราะถ้าเริ่มแบบนั้น พลังจะต่ำมาก แต่เริ่มจากที่ว่าเราจะสร้างพรรคแบบไหน จะทำพรรคเพื่อไปทำภารกิจอะไร คำถามที่ว่าพรรคจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์หรือไม่ เป็นคำถามจากกระบวนทัศน์เดิม  ผมก็เข้าใจที่ต้องถามแบบนี้ แต่หนทางข้างหน้ายังมีอะไรอีกเยอะ ถ้าเราไปผูกมัดอะไรไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์...หากถามผมตอนนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจอะไรได้  ไปถามคุณสุเทพก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ เพราะจากนี้ไปทุกอย่างจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ"
และเมื่อถามอีกว่า หากให้วิเคราะห์การเมืองหลังการเลือกตั้งจะมีโฉมหน้าอย่างไร ปัญหาความขัดแย้งเดิมๆ จะหายไปหรือไม่ รวมถึงบทบาททหาร เอนก กล่าวตอบว่า อันที่หนึ่งคือจะจัดการกับระยะเฉพาะกาลในช่วง 5 ปีหลังจากนี้อย่างไร จะตั้งรัฐบาลอย่างไร ตนก็อยากให้รัฐบาลกว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะกว้างร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงไม่มีที่ไหนในโลก แต่ก็อยากให้เป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งที่มีฐานกว้างเป็นพิเศษ อย่าเพียงให้เสียงเกินครึ่งของสภา เกินครึ่งของรัฐสภาเท่านั้น ซึ่งเมื่อมารวมกันโดยกว้างขวาง ก็ต้องอดทน มีขันติธรรม เสียสละให้บ้านเมือง ทุกพรรคต้องคิดแบบนั้น ทำอย่างไรไม่ให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่เกิดการเดินขบวน ไม่เกิดม็อบ
"ก็ต้องเตรียมคิดเอาไว้ว่าถ้าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ หรือถ้าไม่ใช่พลเอกประยุทธ์ แต่เป็นทหารคนอื่นเป็นนายกฯ ซึ่งก็คงไม่ง่าย ที่เป็นไปได้มากสุดก็พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้วจะบริหารประเทศอย่างไร ก็ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทพอสมควร เพราะจะเป็นนายกฯ ที่มาจากระบอบประชาธิปไตย ที่มีวิธีการแบบแผนอีกแบบหนึ่ง มาตรา 44 ก็จะใช้ได้อีกไม่นาน  เมื่อมีรัฐบาลใหม่มาก็ใช้ไม่ได้แล้ว ก็จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ"
แม้เป็นมุมวิเคราะห์-ท่าทีส่วนตัวของ เอนก ในช่วงที่พรรค รปช.ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างเป็นทางการ แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยกับจังหวะการก้าวย่างของพรรคที่ถูกมองว่า น่าจะเป็นพรรคที่พร้อมสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง.