ต้องบอกว่า “พี่ไทย” ยามนี้ขาขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเดียวแล้ว สำหรับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดย ล่าสุดที่ “พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์” ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานนั้น ก็มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,317 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 363,029 ราย และมีผู้เสียชีวิตอีก 87 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 2,934 ราย ...๐

เมื่อกลับไปดูสถานการณ์โลกที่ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อไปกว่า 188 ล้านราย และเสียชีวิตกว่า 4 ล้านรายนั้น ประเทศไทยขยับมาอยู่อันดับ 59 ของโลกในจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว และหากพินิจพิเคราะห์ อัตราเร่งของผู้ติดเชื้อสะสมในห้วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องบอกว่าอาการน่าเป็นห่วง โดยเมื่อสิ้นสัปดาห์นี้อาจขยับขึ้นแซง “อุรุกวัย” ในอันดับที่ 58 ที่มีผู้ติดเชื้อ 377,297 ราย หรืออาจแซงอันดับ 57 ของ “คูเวต” ที่มีผู้ป่วย 379,076 รายก็เป็นได้ ในขณะที่สัปดาห์หน้าหากมาตรการ “ล็อกดาวน์” กระมิดกระเมี้ยนยังไม่เห็นผล ในปลายสัปดาห์ ไทยอาจมีผู้ติดเชื้อในระดับ 4 แสนคนก็เป็นได้ เพราะดูจากกราฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน ...๐

ที่น่าตกใจเข้าไปอีกเมื่อ “หมอเบิร์ท” แถลงถึงตัวเลข 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด เพราะตอนนี้มี “สมุทรปราการ” ที่ติดเชื้อในระดับเกินพันมาด้วย จากที่มีแค่ “กรุงเทพมหานคร” เท่านั้น ที่สำคัญผู้ช่วยโฆษก ศบค.ยังระบุอีกว่าตอนนี้เชื้อกระจายไปทั่ว 77 จังหวัดแล้ว ต้องบอก “เดลตา” กำลังป่วนไทยยิ่งกว่า “แขกคิดดอกเบี้ยแพง” เสียอีก ...๐

ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ไปแรงและเร็ว แต่ดูเหมือนการฉีดวัคซีนจะต้วมเตี้ยมตามแทบไม่ทัน โดยข้อมูลการฉีดวัคซีนวันที่ 13 ก.ค. มีจำนวน 322,488 โดส ทำให้มี ยอดฉีดวัคซีนสะสม 13,230,681 โดสเท่านั้น และหากดูเฉพาะ กทม. ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ถึงปัจจุบัน มีการฉีดไปแล้ว 4.2 ล้านโดส ทำให้ประชากรใน กทม.ได้รับวัคซีนเข็มแรกไป 43.61% เข็มสอง 11.92% ...๐

การฉีดก็ยังมะงุมมะงาหราแล้วดันมาเกิดเคส “สลับวัคซีน” “สลับสูตร” บั่นทอนความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก เพราะหลังจาก “ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ” เสนอขึ้นมา และคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติก็มีมติให้ทำได้ แต่หลังกระแสข่าวแพร่สะพัดเรื่องฟีเจอริงวัคซีนเท่านั้น ก็ทำให้นักวิจัยองค์การอนามัยโลก (ฮู) ออกมาติติงถึงอันตราย ซึ่งก็ทำให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมผู้อ่อนไหวต่อคำวิจารณ์ของต่างชาติ และสังคมต้องแตะเบรกเรื่องดังกล่าว แต่ล่าสุดก็ให้ “อนุชา บูรพชัยศรี” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ออกมาแก้ต่างแทนว่านายกฯ ไม่ได้ห้ามแต่ประการใด พร้อมโยนให้คณะแพทย์ชี้แจงอีกต่างหาก ...๐

ไม่ต่างจากองค์การอนามัยโลกก็ออกมาพลิกความคิดเห็นเฉกเช่นกัน ซึ่งก็ต้องเรียกว่ายิ่งกว่าเล่นขายของในระดับโลกและระดับผู้นำทีเดียว ซึ่งในส่วนของ “ฮู” นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะหากจำกันได้ก่อนหน้านี้ก็เคยรังเกียจรังงอนในการสวมใส่ “หน้ากากอนามัย” มาแล้ว แต่กรณี “ลุงตู่” นี่สิถ้ายังชักเข้าชักออกอย่างนี้บ่อยๆ ความเสื่อมทรุดและศรัทธาที่นับวันก็ผุกร่อนเข้าไปทุกทีจะหนักหนาสาหัสมากขึ้น เพราะล่าสุด “เวียดนาม” ก็ยังออกคำสั่งให้มีการสลับวัคซีนแล้วนะลุง ...๐

หันมาส่องเฟซของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่โพสต์ในหัวข้อ “สิ่งที่เข้าใจและไม่เข้าใจ” น่าสนใจไม่น้อย โดยเอ่ยถึงเรื่องคุณภาพวัคซีนอย่าง “ซิโนแวค” ว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะ “จีน” ต้นตำรับไวรัสเองก็ฉีด และทุกวันนี้ก็แทบไม่มีผู้ติดเชื้อแล้วทั้งที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือ การล็อกดาวน์  10 จังหวัด แต่ทำไมตัวเลขผู้ฉีดวัคซีนใน 10 จังหวัดจึงน้อยอย่างยิ่ง แหม! เป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าติดตามอย่างมาก ...๐

พูดถึงเรื่องล็อกดาวน์แล้วไม่เอ่ยอ้างถึงเรื่อง “เยียวยา” ที่ผ่านมติคณะรัฐมนตรีก็กระไรอยู่ เพราะล่าสุด “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกฯ และ รมว.พลังงานก็ออกมาโพสต์ย้ำเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง แต่ชาวบ้านร้านช่องใน 10 จังหวัดนั้นได้แต่ส่ายหัวว่าไอ้ที่บอกว่าเยียวยานั้นจะเริ่มเมื่อไหร่อย่างไรกันแน่ และจะมาในรูปแบบไหนกันนะจ๊ะ เพราะที่ไล่แจงพร้อมโอ่ หรือแม้แต่ทำกราฟฟิกสวยหรูชาวบ้านเขาไม่รู้เรื่อง จะให้เป็นเงินสด หรือจะโอนเงินเข้าแอปพลิเคชันเป๋าตังเนตๆ อย่างไรควรจะเร่งชี้แจง เร่งบอกด้วยจะดีกว่า ...๐

นี่ยังไม่นับรวมข้อห้อยท้ายที่บอกให้ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เร่งไปหามาตรการดูแลเรื่องหนี้สินอย่างเร่งด่วน ว่าจะมีการพักชำระหนี้หรือจะยืดเวลาชำระหนี้อย่างไร แหม!สุดท้ายเชื่อหัวไอ้เรืองได้เลยว่าจะออกมารูปแบบเดิม คือให้ยืดชำระหนี้ออกไปแล้วก็ลดดอกเบี้ยพอเป็นกระสาย แต่ในความเป็นจริงก็คือการเพิ่มภาระให้กับลูกหนี้หนักขึ้นไปอีก เพราะจ่ายแต่ดอกเบี้ยแบบเงินต้นไม่ลด ยืดเวลาออกไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจาก ทำให้สถาบันการเงินกินดอกเบี้ยนิ่มๆ แม้จะไม่เยอะเท่าเก่า แต่ก็เรียกว่าเป็น “เสือนอนกิน” ในยุคที่ทั้งประเทศป่วยไข้อยู่ดี ...๐

ท.ศักดิ์