12 ก.ค.64- เผลอแป๊บเดียวก็ก้าวผ่านครึ่งปี 2564 มาแบบมึนๆ ว่าเวลามันผ่านไปเร็วมากแต่สถานการณ์ต่างๆ กลับยังไม่ดีขึ้นเลย โดยในช่วงปลายเดือนมิถุนายนทางรัฐบาลเพิ่งจะมีคำสั่งสะท้านวงการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไป นั่นคือการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ห้ามการเคลื่อนย้ายคนงานรวมทั้งปิดไซท์งานก่อสร้าง ไม่ให้ดำเนินงานในพื้นที่ดังกล่าวเลยเป็นเวลา 30 วัน ถึงแม้ว่าเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาจะมีประกาศอีกฉบับผ่อนปรนในบางข้อ และให้มีผลย้อนหลังกลับไป 28 มิถุนายน แต่มันได้ก่อผลกระทบมหาศาลไปทั้งวงการแล้ว รวมทั้งทางออกที่ภาคเอกชน ทั้ง ผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ รวมไปถึงแรงงานต่างๆที่ได้รับผลกระทบจะออกมาเสนอแนะ สอบถามการเยียวยาจากภาครัฐ ทั้งสามสมาคมอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้าง ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนแต่อย่างใด ยังคงต้องช่วยตัวเองกันไปก่อน
ตัดกลับมาวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564 ซึ่ง ศบค. ก็มีดาบสองในการมีคำสั่งควบคุมจำกัดการเดินทางที่ภาษาชาวบ้านเรียก “ล็อกดาวน์” ถึงแม้ว่าทางราชการจะไม่ใช้คำนี้ก็ตาม ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ปิดห้าง ให้เปิดขายได้บางแผนก, ปิดกิจการบางกิจการ, ขอให้ทำงานที่บ้าน , ขอความร่วมมืองดเดินทางช่วงกลางคืน ห้ามรวมกลุ่มทำกิจกรรมเกิน 5 คน เป็นต้น
แน่นอนว่าถึงจะไม่เรียกล็อกดาวน์ แต่บรรยายกาศการใช้ชีวิตของประชาชนมันจะถูกดึงเข้าไปสู่โหมดซึมลงแบบล็อกดาวน์อยู่แล้ว ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน การตัดสินใจในการใช้จ่ายที่ต้องปรับเปลี่ยนไป หลายคนสูญเสียงาน สูญเสียรายได้ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว หลายกิจการจำเป็นต้องหยุดชั่วคราว หรือแม้กระทั่งเลิกกิจการไปเลยก็มี หลายคนเป็นหนี้เป็นสินที่กู้มาเพื่อประคองกิจการและเลี้ยงดูครอบครัว และหลายคนกำลังจะหมดหวัง !
ผมเชื่อว่าประชาชนทุกคนพร้อมจะเสียสละเพื่อลดความรุนแรงของโรคระบาดที่ทั้งโลกต้องเผชิญแบบไม่ได้มีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน แต่การเสียสละนั้นมันควรต้องมีจุดที่ทำให้เกิดความหวังว่าเสียสละแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ซึ่งวิกฤตครั้งนี้ที่ผ่านมาปีกว่าๆแล้วพวกเราอาจจะยังไม่เคยเห็นกันเลยจนถึงวันนี้ แน่นอนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าที่อยู่อาศัยจะเป็นปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องใช้ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเช่า หรือจะซื้อก็ตาม ตั้งแต่ช่วงโควิดเริ่มส่งผลกระทบแรกๆ ภาคอสังหาฯบางส่วนก็เริ่มได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ชาวต่างชาติที่เคยทำงานในกรุงเทพและเช่าคอนโดดีๆ แพงๆอยู่ หายไปอย่างน่าใจหาย
ใครจะเชื่อว่าค่าเช่าคอนโดบางตึกกลางเมืองจะลดลงไปให้เห็นถึง 50% คอนโดที่คนไทยเช่าเพื่อทำงานก็เริ่มมีคนค้างค่าเช่า ขอย้ายออก ขอลดค่าเช่า หรือแม้กระทั่งหนีไปเลยก็มี เพราะสภาพการจ้างงานที่โดนทั้ง ลดเงินเดือน ลดงานหรือโดนเลิกจ้าง แม้กระทั่งหอพัก อพาร์ทเมนท์ คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยที่เคยเป็นตลาดนักศึกษาที่ดีมากๆ ก็ว่างมากขึ้น จากทั้งการเรียนออนไลน์ที่ไม่ต้องไปอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยก็ได้ และจากการที่ต้องพักการเรียนไป เพราะผู้ปกครองประสบปัญหาด้านการเงินจนส่งไม่ไหว เกิดขึ้นเยอะมากๆแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาในรอบ 10 กว่าปี
ส่วนธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารไม่ต้องพูดถึง เพราะน่าจะหนักหนาสาหัสที่สุดแล้ว ไตรมาส 3 นี้ หลายๆคนเคยตั้งความหวังว่า สถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้น และจะทำให้ทั้งวงการอสังหาฯ วงการท่องเที่ยวค่อยๆ “เริ่ม” จะขยับตัวจนเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในไตรมาส 4 ที่คิดว่าจะสามารถเริ่มรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาได้ และตลาดจ้างงานเริ่มปกติจนทำให้การซื้อขายอสังหาฯกลับมาคึกคักขึ้นบ้าง แต่ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับว่าความหวังของไตรมาสนี้น่าจะจบลงไปแล้ว เพราะเท่าที่เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อ “แค่ที่เปิดเผย” ก็ทำนิวไฮขึ้นตลอด ยังไม่ต้องคิดถึงตัวเลขจริงให้ทุกข์ใจไปกว่านี้
สำหรับผลกระทบของประกาศล็อคดาวน์รอบใหม่ของ ศบค. รอบนี้ แน่นอนว่ากระทบกับบรรยากาศการอยากลงทุน หรือการอยากซื้อบ้าน คอนโดไปเยอะมากๆ จะเห็นตัวเลขคน Walk in เข้าชมโครงการกราฟตกหัวทิ่มอย่างมีนัยสำคัญไปอีก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย เมื่อตัวเลข Walk in น้อย ยอดขายก็น้อยด้วย ตัวเลขรับรู้รายได้จากการโอนในไตรมาส 3 นี้ของทุกผู้ประกอบการ โดยเฉพาะที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็จะผิดเป้าไปมาก เพราะการโดนสั่งปิดแคมป์ ปิดไซท์งานที่แม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ ภาครัฐก็ยังไม่มีมาตรการดำเนินการแก้ปัญหาเชิงรุกอย่างบูรณาการเลย ทั้งเรื่องการตรวจคัดกรองคนงาน การฉีดวัคซีนคนงาน การเยียวยาด้านแรงงาน 50% ที่บอกว่าจะจ่ายทุก 5 วัน การดูแลจัดการเรื่องอาหาร 3 มื้อทุกวันของคนงานทุกคน ที่ตอนนี้ตกเป็นภาระของผู้รับเหมาก่อสร้างแบบ 100%!
ยังไม่คิดรวมไปถึงมาตรการเยียวยาด้านต้นทุนการเงิน ดอกเบี้ย มาตรการด้านภาษีจดจำนอง และค่าใช้จ่ายการโอนต่างๆที่จะหมดในสิ้นปีนี้ ซึ่งมีผลกับผลประกอบการและการหมุนเงินทั้งตลาดจำนวนมหาศาล ที่สำคัญคือทั้งมาตรการปิดแคมป์ ปิดไซท์เมื่อครบ 30 วันแล้ว จะถูกขยายต่อไปอีกหรือไม่ ? และมาตรการล็อคดาวน์ 14 วัน หากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงก็จะเป็นข่าวดีของชาวไทยทั้งประเทศ แต่ถ้าไม่ลดลงล่ะ ? เราต้องเจออะไรกันต่อ?
แม้ว่าตอนนี้จะเริ่มเห็นการขยับตัวกลับมาลุยขายออนไลน์ของผู้ประกอบการอสังหาฯอีกครั้ง ทั้งอัดแคมเปญลด แลก แจก แถมออนไลน์ หรือการชักชวนให้เข้าชมโครงการ เข้าชมห้องตัวอย่างออนไลน์ แบบ Virtual Tour ที่ทีการพัฒนาไปมากจนสามารถเข้าชมและพูดคุยกับพนักงานแบบ Real Time แล้วเหมือนที่ทาง Prop2morrow ให้บริการอยู่ ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องการเข้าชมของลูกค้าได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าไม่มีลูกค้าเข้าชมเลย และทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในโครงการที่ทำเลใกล้ๆกัน แต่ไม่มีบริการให้ดูแบบ Real Time Virtual Tour แต่การปิดการขายแบบได้ดูของจริง สถานที่จริง ก็ยังมีเสน่ห์กว่าอยู่ดี
ตอนนี้ความหวังของคนทั้งประเทศยังคงหวังว่า “เจ็บแล้วต้องจบ” ให้ได้จริงๆสักที เพราะความเสียหายมันไม่ได้มีผลแค่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนมันมีผลมากกว่านั้นมากมายจริงๆ เชื่อผมเถอะว่าไม่มีใครอยากเห็นว่าบ้าน คอนโดขายดี ในขณะที่ยังมีคนไปนอนตากฝนข้ามคืนเพื่อรอตรวจเชื้อโควิดหรอก ...มันทำใจไม่ได้จริงๆ
-โอภาส ถิรปัญญาเลิศ
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |