6 ก.ค.64-  นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม ว่าคนไทยโชคร้ายที่มีผู้นำห่วยที่สุดในเวลาที่วิกฤติที่สุด

สิ่งที่คุณพิธาอภิปรายเพื่อเสนอยุบ ศบค. ถึงความพินาศทางเศรษฐกิจที่ทำให้มีคนฆ่าตัวตายแทบจะทุก 90 นาที มันมีตัวชี้วัดบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความหมดหวังจนต้องจบชีวิตตัวเองของประชาชนภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล

เริ่มกันที่การล็อคดาวน์ประเทศครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2563 (กทม.22 มีนา 2563) เวลานี้ผ่านมา 1 ปี 3 เดือนพอดี ที่วิกฤติการณ์โควิดยังคงระบาดหนัก และไม่มีทีท่าว่าจะจางลงเหมือนสีไวนิลป้าย “นายกตู่ผู้พิชิตโควิด” 

ช่วงหนึ่งหลังการล็อคดาวน์ การระบาดเหมือนจะคลี่คลายลงบ้าง ในช่วงนั้น คนไทยส่วนใหญ่กำลังคิดถึงภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่สัญญาณแปลกๆทั้งเรื่องการไม่เตรียมวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพื่อสกัดการระบาดระลอกใหม่พร้อมวลี “แทงม้าเต็ง” ของรัฐมนตรี พร้อมการนำเข้าวัคซีนซิโนแวค ที่แม้จะโดนท้วงติง แต่ก็ไม่รับฟัง จนในที่สุด วิกฤติเศรษฐกิจที่ซุกไว้ใต้พรมก็เผยตัวออกมา

รายงานของสภาพัฒน์ระบุว่า เศรษฐกิจไทย ไตรมาสที่ 2 ซึ่งตรงกับช่วงล็อคดาวน์พอดีของปี2563 ปรับตัวลดลง 12.2% (เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลง 6.1% ในปี 2563) การเยียวยาและการพักชำระหนี้ที่ไม่มากและทั่วถึงเพียงพอทำให้การบริโภคในภาคเอกชนปรับตัวลดลง 6.6% (แม้จะกลับมาขยายตัว 0.9% ในปี 2563 แต่นับว่าน้อยมาเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ขยายตัวถึง4.1%) ซึ่งสัญญาณนี้ชี้ให้เห็นว่า มาตรการในการรับมือทางเศรษฐกิจหลังล็อคดาวน์ยังไม่ทำงานในระดับที่มากพอ 

ผู้ได้รับผลกระทบหนักหนาที่สุดคือธุรกิจที่พักและบริการด้านอาหาร ปรับตัวลดลงถึง 50.2% จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าของกระทรวงพาณิชย์ ในช่วงเวลาเดียวกันสีธุรกิจเลิกประกอบกิจการไป 3,058 แห่ง รวมเป็นเงินทุนเลิกประกอบกิจการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 อยู่ที่ 11,892 ล้านบาท

และเมื่อเจ้าของกิจการปิดตัว ภาวะการว่างงานก็ตามมา ในเวลาเดียวกันนั้นมีคนว่างงานเกิดขึ้น 7.46 แสนคน ซึ่งนับเป็น 2% ของแรงงานรวม แต่คนที่ยังไม่ถูกเลิกจ้างที่ไม่ได้ทำงาน เรียกว่าอนาคตไม่แน่นอน พร้อมจะตกงานอีกถึง 2.52 ล้านคน รวมกันออกมาตอนนี้มีคนไทยราวๆ 3.266 ล้านคน อยู่ในข่ายของการว่างงาน ซึ่งนับเป็น 8.55% ของกำลังแรงงาน

และทั้งหมดที่ว่ามา มาจากมาตรการล็อคดาวน์ในครั้งนั้น

ที่น่าเศร้าคือแม้จะมีการคลายล็อคดาวน์ไป กลับไม่มีมาตรการรับมือการระบาดที่ดีพอ พอการระบาดเกิดขึ้นอีกครั้ง วัคซีนไม่พร้อม วิกฤติเศรษฐกิจที่ว่ามาก็จะปะทุลุกลามขึ้นไปอีก คนที่อยู่ในวัยทำงาน เมื่อไม่ได้ทำงาน ก็จะเข้าสู่ภาวะความยากจน แม้คนจะปรับตัว ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถทำงานที่บ้านได้ 

และในช่วงเวลาของปี 2563 นั่นแหละครับ คือช่วงเดียวกับที่คุณพิธาอภิปรายถึงความสิ้นหวังจนคนไทยฆ่าตัวตายสูงสุดในรอบ 24 ปี เรียกว่าทุก 90 นาที จะมีคนไทยฆ่าตัวตาย 1 คน

ถามว่าถ้ามาตรการเยียวยาดี มาตรการป้องกันการระบาดและควบคุมโรคดีจริง งบประมาณที่โปรยไปกี่โครงการ มันต้องพยุงธุรกิจ ปกป้องการตกงานได้มากกว่านี้ และคนไทยจำนวนมาก ก็จะไม่หมดหวังขนาดต้องจบชีวิตตัวเองไปแบบนี้

และข้อมูลทั้งหมดตามสถิติทางการ คือข้อมูลปี 2563 นะครับ ปีนี้ประชาชนล้วงมือเข้ากระเป๋าไปก็เจอแต่หนี้ที่มากกว่าปีก่อนแน่ๆ เพราะวิกฤติปีนี้หนักกว่าเดิม จากความผิดพลาดในการบริหารจัดการ เงินเก็บของประชาชนและสายป่านของธุรกิจหดหายไปเท่าไรแล้ว ตัวผมเองไม่ได้ขัดเรื่องการกู้เงิน แต่กู้มาแล้วใช้ไม่เป็นสุดท้ายก็จะละลายเงินกู้ไปเหลือไว้แต่หนี้ บนรอยเลือดและคราบน้ำตา ทับถมบนซากศพประชาชนอยู่แบบนี้

ในคลิปที่ท่านนั่งอยู่ริมหาดภูเก็ต มีเสียงคนบอกว่าอยากให้ท่านรีแลกซ์บ้าง ผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านอย่าทำงานต่อเลยครับ สร้างแต่หนี้ให้ประชาชน เพิ่มแต่คนป่วยคนตาย ทำลายทุกความหวัง มองไปไม่เห็นแสงสว่างอะไรสักอย่าง 

นี่ประเทศไทย ประเทศของพวกเราจริงๆ ที่มีประชาชนที่ต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการบริหารงานของรัฐบาลให้ได้จริงๆ เลิกหวงอำนาจ เลิกโทษประชาชน เลิกทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนสักทีครับ 

แผ่นดินนี้มันอาบน้ำตาประชาชนจนจะลุกเป็นไฟอยู่แล้วนะครับ.