3 ม็อบไล่ "บิ๊กตู่" ไม่กลัวโควิด รวมพลหน้าทำเนียบรัฐบาล "จตุพร" เผยผู้มีอำนาจเขาพูดกันว่าจะปิดไทยไม่ทนในวันที่ 8 ก.ค. จะจับตัวเองไปขัง ด้าน "ทนายนกเขา" แบะท่ารวมกลุ่มกับเสื้อแดงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขู่ชุมนุมไล่ทุกวัน
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2564 พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) และประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์การปรับเปลี่ยนมาตรการตามสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นว่า มาตรการหลักๆ คงต้องถือมาตรการเดิมไปก่อน เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมามีประชาชนที่ทำมาหากินอยู่มีความเดือดร้อนเนื่องจากศบค.ใช้มาตรการเหล่านี้มา 3 เดือนแล้ว ประชาชนเป็นจำนวนมากได้มาขอความกรุณาจากทาง ศบค. ว่าอยากให้ผ่อนคลายบ้าง ซึ่งก็ได้ชี้แจงกลับไปว่ามาตรการต่างๆ เหล่านี้ยังจำเป็นอยู่ เพราะฉะนั้นต้องดูทั้งสองฝ่าย คือคนที่เดือดร้อนจากมาตรการของ ศบค.ด้วย และต้องดูมาตรการป้องกันโรคด้วย
ดังนั้นสิ่งที่ ศบค.ต้องเตรียมการคือจะต้องลงรายละเอียดให้มากขึ้น เพิ่มความประณีตให้มากขึ้น และอาจจะต้องเพิ่มมาตรการเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทำให้ประชาชนที่จะต้องทำมาหากินเดือดร้อนมากไปกว่านี้ โดยเมื่อครบ 15 วันในประมาณวันที่ 12 ก.ค.นี้ ก็จะหารือกับทางกระทรวงสาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ว่าจากมาตรการต่างๆ ที่เราทำมาแล้วนั้นมีประสิทธิผลเพียงใด จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเพิ่มมาตรการหลักให้มากขึ้น หรือยังสามารถคงมาตรการนี้ได้ต่อไป ตรงนี้จะต้องฟังจากทางกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) กล่าวว่า หลังจากที่มีการเปิดใช้โครงการคนละครึ่งไปแล้ว 2 วัน บรรยากาศการใช้สิทธิ์โครงการต่างๆ เริ่มคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัด มีประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอยตามสิทธิ์ที่ได้รับในแต่ละโครงการ ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าต่างบอกว่า ช่วยกระตุ้นให้ขายของได้มากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ผู้ประกอบกิจการ ผู้ค้าขาย และประชาชนหลายฝ่ายเห็นว่าโครงการทั้ง 4 เป็นโครงการที่ดี ทำให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นในช่วงที่กำลังลำบากกัน ในส่วนของผู้ประกอบกิจการร้านค้า ก็จะได้รับเงินจากประชาชนที่เข้าร่วมโครงการที่มาจับจ่ายใช้สอย ทำให้ธุรกิจสามารถหมุนเวียนต่อไปได้
โฆษก ศบศ.กล่าวต่อว่า มาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19 ระหว่างวันที่ 1-2 ก.ค.64 มีผู้มาใช้สิทธิ์ซื้อสินค้าและบริการต่างๆ แล้วรวมกว่า 14 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายกว่า 3.6 พันล้านบาท โดยแต่ละโครงการมีการใช้จ่ายแล้ว ดังนี้ 1.โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิแล้วจำนวน 7.6 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายรวม 2,230 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 7,867 ราย โดยเป็นยอดการใช้จ่ายรวม 25 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 6.6 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 1,308 ล้านบาท
และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิ์จำนวนกว่า 1.9 แสนราย มียอดการใช้จ่ายรวม 37 ล้านบาท ทั้งนี้ การใช้สิทธิ์ซื้อสินค้าและบริการระหว่างประชาชนผู้ใช้สิทธิ์และร้านค้าจะต้องเป็นการจ่ายเงินแบบ face-to-face หรือแบบพบหน้าเท่านั้น และต้องไม่มีกระบวนการใดๆ รองรับการซื้อขายที่ดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผ่านคนกลาง ไม่ว่าด้วยวิธีการใดที่เป็นการหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมแบบพบหน้าดังกล่าว เช่น การนำ QR Code ไปคัดลอกส่งต่อแก่บุคคลอื่นเพื่อสแกนจ่ายเงิน เป็นต้น ขอให้ทั้งร้านค้าและประชาชนระมัดระวังการใช้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งประชาชนสามารถใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ด้านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุนายกฯ ล้มเหลวทุกด้าน และแนะนำให้ลาออกก่อนถูกประชาชนไล่ ว่ารู้สึกสงสารนายพิชัย ที่นับวันยิ่งแสดงความโง่เขลาเบาปัญญาออกมาเรื่อยๆ และทำให้ถึงบางอ้อได้ว่า ทำไมตอนที่นายพิชัยเป็นรัฐมนตรี ทั้งอดีตรมช.การคลังและอดีต รมว.พลังงาน เศรษฐกิจของประเทศถึงไม่ไปไหน ก็เพราะสมองวันๆ คิดได้แค่นี้เอง โชคดีของประเทศไทยแล้วที่บุญของนายพิชัยหนุนให้ขึ้นมาได้แค่นั้น ไม่เช่นนั้นป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ก็เข้าใจดีว่าพอนายเก่าอย่างนายทักษิณ ออกมาเสนอหน้า ทำเป็นรู้ดีต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ทำตัวเหมือนเก่งแต่เอาตัวไม่รอด นายพิชัยก็เลยต้องออกมาสร้างผลงาน เห่าหอนให้นายเห็นบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นก็คงจะตกงานยาว ส.ส.ก็ไม่ได้เป็น รัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็น เลยต้องออกมาพูดให้นายกฯ ลาออกทุกวันๆ ท่องยังกับเป็นบทสวดมนต์ ถ้าไม่ลาออกก็ให้ยุบสภา ซึ่งประชาชนเขารู้ทันกันหมดแล้ว
"คนอย่างนายพิชัย อยู่พรรคไหน พรรคนั้นพังพินาศพณาสูร ไม่เชื่อคำทำนายทายทักของผมก็ให้ติดตามดูว่าจะจริงหรือไม่ เพราะคนที่คิดหวังผลเพียงเพื่อตนเองไม่คำนึงถึงชาติบ้านเมือง คนประเภทนี้อยู่ที่ไหนหัวหน้าตายหมด อยู่พรรคไหนพรรคนั้นพังฉิบหายหมด ผมทายอะไรไม่มีผิดพลาดแน่นอน" นายเสกสกลกล่าว
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวมีเนื้อหาว่า ในภาวะที่สถานการณ์โรคระบาดยังไม่คลี่คลาย ใครที่ยังพอไหวอาจจะช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้ทุกคนผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้
"ดิฉันเองแม้ตัวอยู่ไกล แต่ก็พร้อมสนับสนุนและเป็นสื่อกลางในการช่วยประชาสัมพันธ์พืชผลทางการเกษตรให้กับพี่น้องประชาชนทุกจังหวัดค่ะ ท่านสามารถใช้ช่องแสดงความเห็นข้างล่างเพื่อโพสต์ผลิตภัณฑ์การเกษตรของท่านได้เลยนะคะ" อดีตนายกฯ ระบุ
น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ศึกษากรณีตัวอย่างในต่างประเทศ โดยในปี 2542 ชาวฝรั่งเศสได้มีการฟ้องต่อศาลให้เอาผิดอดีตนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ข้อหาฆ่าคนตายและทำให้คนบาดเจ็บจากการรับโลหิตปนเชื้อเอชไอวีกว่า 300 คน แม้นายกรัฐมนตรีและพวกไม่มีเจตนา แต่เป็นเจ้าพนักงานรัฐที่ปล่อยปละละเลย ประมาทเลินเล่อ และล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ จนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ในท้ายที่สุดจะมีการต่อสู้คดีจนหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา แต่กรณีนี้ทำให้ทั่วโลกได้รู้ว่าผู้นำประเทศที่บริหารราชการผิดพลาดจนทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกดำเนินคดีไม่แตกต่างจากคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรงและสมควรถูกประณามจากชาวโลกเช่นกัน
วันเดียวกันนี้ มีการชุมนุม 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มประชาชนคนไทย นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา, กลุ่มไทยไม่ทน นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และกลุ่มนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด จัดกิจกรรม "คาร์ม็อบ สมบัติ (ทัวร์)" เพื่อบีบแตรไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มของนายนิติธรชุมนุมบริเวณแยกพาณิชยการ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน 1 กองร้อย ตั้งแนวรั้วลวดหนามหีบเพลง 2 ชั้น ประกอบรั้วเหล็กและรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือจีโน่ ประจำการด้านข้างตึกสันติไมตรีทำเนียบรัฐบาล จำนวน 1 คัน
นายนิติธรกล่าวว่า สถานการณ์วันนี้มีประชาชนและกลุ่มชุมนุมทุกกลุ่มเห็นด้วยกับการให้ พล.อ.ประยุทธ์นั้นลาออก ยิ่งลาออกเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ตนไม่อยากให้เกิดความรุนแรง พร้อมกับระบุว่าท่าทีของ นายกรัฐมนตรีที่ไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ จ.ภูเก็ต เรื่องผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าแล้วจะเอาอะไรอีกในการเยียวยาประชาชน แสดงให้เห็นเนื้อแท้ของรัฐบาลที่ไม่มีประชาชนในหัวใจ ซึ่งตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติหน้าที่ แต่ถ้าหากทำอะไรไม่ได้ ก็สามารถพูดให้กำลังใจได้ เพราะความตายของประชาชนสำคัญกว่าการลงพื้นที่จ.ภูเก็ต
นายนิติธรยืนยันว่า จะไม่มีการรวมเวทีกับกลุ่มไทยไม่ทนของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แต่อย่างไร แต่ในวันข้างหน้าตนยังไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และจากนี้ไปจะมีการชุมนุมจะมีการปรับเป็นในทุกช่องทาง และอาจมีการชุมนุมทุกวัน
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยนายจตุพรเผยว่ากลุ่มคาร์ม็อบ สมบัติ (ทัวร์)
ร่วมสมทบขบวนปิดท้ายเป็นขบวน และทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหวในขณะนี้มีภารกิจเดียวกันคือขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์
เขายังกล่าวว่า อุปสรรคในการต่อสู้ของภาคประชาชน คือวางแผนจะขังตนในวันที่ 8 ก.ค.นี้ เป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ ทั้งที่ขังไปแล้ว และคำสั่งศาลได้ปล่อยตัวแล้ว แต่ขณะนี้จะนับโทษใหม่ เพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวของตนในครั้งนี้ ในแวดวงของผู้มีอำนาจเขาพูดกันว่าจะปิดไทยไม่ทนในวันที่ 8 ก.ค. แต่ตนเชื่อว่าประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำไม่ง่ายแน่นอน แม้ว่าต้องการจะทำก็ตาม เพราะไม่เคยมีในกฎหมายไทย
เขากล่าวว่า ขณะนี้ทุกกลุ่มเห็นตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์คือปัญหา และเชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ แต่ให้สถานการณ์เป็นตัวกำหนด โดยจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้ ดูได้จากในขณะนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรก็ดูผิดพลาดไปเสียหมด อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต ผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นรัฐบาลที่จะมีอันเป็นไป จะมีอาการคล้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ในตอนนี้
“เราจะเห็นว่ากระบวนการประชาชนต่างขยับเข้าหากัน และเป็นเรื่องของประชาชนจะออกมาจัดการ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทุกคนต่างเห็นว่านายกฯพาประเทศไปไม่รอดแล้ว ผมบอกกับพรรคพวกว่าการต่อสู้ครั้งนี้เราจะไม่ระดมพลเหมือนการต่อสู้ในอดีต เพราะการต่อสู้กับระบบเผด็จการประชาชนต้องมาเอง ทั้งนี้ เชื่อว่ากองหนุนของ พล.อ.ประยุทธ์กำลังถอย” นายจตุพรกล่าว
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะกระทบการชุมนุม นายจตุพรกล่าวว่า ตั้งแต่เคลื่อนไหวยังไม่ปรากฏว่ามีการติดเชื้อจากการชุมนุม แดดร้อนขนาดนี้โควิดไม่มาแน่นอน
ขณะที่ขบวนคาร์ม็อบ สมบัติ (ทัวร์) ของนายสมบัติ หลังจากขบวนที่ตั้งใจจะไปทำเนียบรัฐบาลนั้น ถูกปิดกั้นโดยแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ จึงเปลี่ยนเส้นทางจากแยกนางเลิ้งมุ่งตรงไปทางถนนเพชรบุรี ก่อนเลี้ยวขวาเข้าแยกบรรทัดทอง ไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม 1 มุ่งหน้าไปแยกราชประสงค์ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางแยกประตูหน้า และหยุดบีบแตรที่ถนนราชดำริ กินเวลาเกือบ 5 นาที เพื่อแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เป็นอันยุติการชุมนุมเป็นที่เรียบร้อย.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |