ทนายนปช.ยื่นอัยการสูงสุดเร่งฟ้องคดีกบฎกปปส. หลังอ้างกระแสข่าวล็อบบี้ชะลอ-รื้อคดี กังขาอัยการคณะทำงานคดีชุดเดียวกับคดีจำนำข้าว

15 ม.ค. 61 - เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) และทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้ยุติการกระทำใดๆ ที่จะชะลอการสั่งคดีและสั่งรื้อคดีผู้ต้องหาในคดีอาญาสำนวนคดีพิเศษที่ 261/2556 หรือคดีกบฏกปปส. และให้เร่งรัดนำตัวผู้ต้องหากลุ่มกปปส. ทั้งหมดส่งฟ้องโดยเร็ว โดยมีนายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แทนรับหนังสือ

นายวิญญัติ กล่าวว่าคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานเป็นกบฏและข้อหาอื่นๆ นั้น วันนี้ตนมายื่นขอให้ท่านอัยการสูงสุดพิจารณายุติการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการชะลอการสั่งคดีหรือการสั่งรื้อคดีของผู้ต้องหาบางราย ตามที่รับทราบมาว่ามีการยื่นหนังสือขอให้ชะลอคดีและขอให้รื้อคดีใหม่ ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่สาธารณชนต้องตรวจสอบ คดีนี้มีการฟ้องคดีมาแล้ว 4 ราย ที่เหลือจะนัดพร้อมเพื่อส่งตัวต่อศาลในวันที่ 24 ม.ค. นี้นั้นทราบข่าวว่ามีผู้ต้องหาเพียง 9 ราย ประสงค์จะเข้ามามอบตัวเข้าพบ ส่วนที่เหลือขอให้ยังไม่สั่งฟ้อง ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ทางเราในฐานะผู้ติดตามและผู้กล่าวหาคดีมาโดยตลอด อยากให้ทางอัยการสูงสุดและอัยการผู้รับผิดชอบคดี โดยเฉพาะสำนักงานคดีพิเศษ ให้ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งฟ้องศาล

“ขอกราบเรียนเพิ่มเติมว่า จากการที่เราได้ตรวจสอบบางเรื่อง ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างที่ผมได้กราบเรียนหรือไม่ เป็นเรื่องที่สาธารณชนต้องตรวจสอบกันต่อไป ก็คือว่าพนักงานอัยการในชุดที่พิจารณาคดีกปปส. เป็นอัยการชุดเดียวกันที่เคยทำคดีจำนำข้าวและระบายข้าวจีทูจี ซึ่งปรากฏว่าสองคดีหลัง ซึ่งเป็นคดีจำนำข้าวและระบายข้าวจีทูจีนั้น มีการพิจารณาคดีและนำขึ้นสู่ศาลฎีกาและมีคำพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่คดีกปปส.ยังไม่มีการดำเนินการให้เสร็จสิ้นทั้งหมด ก็อยากตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดจึงล่าช้า เป็นเพราะว่าเป็นอัยการชุดเดียวกันหรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะว่ามีความประสงค์อย่างไรที่จะทำให้คดีนี้ช้าลง” นายวิญญัติ กล่าว

ด้านนายธรัมพ์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวหลังรับหนังสือว่า ต้องเรียนว่าเป็นนโยบายของอัยการสูงสุดอยู่แล้วที่จะไม่ก้าวล่วงหรือแทรกแซงดุลยพินิจในการสั่งคดีของพนักงานอัยการ โดยเฉพาะสำนักงานคดีพิเศษ คดีนี้อยู่ในขั้นตอนที่สำนักงานคดีพิเศษต้องดำเนินการ.