Home Isolation : เมื่อคนป่วยล้นโรงพยาบาล


เพิ่มเพื่อน    

         เมื่อโรงพยาบาลไม่มีเตียงพอเพียงสำหรับคนไข้โควิด และเริ่มจะไม่รับตรวจหาเชื้อเพราะ “เบ่งเตียง” ไม่ไหวแล้ว สิ่งที่กำลังจะกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่คือ “Home Isolation”

                แปลว่าแม้จะติดเชื้อโควิดแล้วหากอาการไม่หนัก อยู่ในเกณฑ์ “สีเขียว” ก็จะต้องเข้าข่าย “รักษา-กักตัวที่บ้าน”

                เป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยต้องเผชิญมาก่อน

                ตอนที่ยุโรปและอเมริกาเจอกับการแพร่เชื้อโควิดหนัก คนไทยได้เห็นภาพของคนป่วยที่ไม่สามารถรับการรักษาในโรงพยาบาลหรือนัดพบหมอยากลำบาก

                ตอนนั้นคนไทยจำนวนไม่น้อยบอกว่าเราโชคดีมากที่จะหาหมอเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะระบบสาธารณสุขของเราอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก

                และเราเชื่อตอนนั้นว่าอย่างไรเสียคนไทยก็จะไม่มีวันต้องเผชิญกับสภาพที่น่าเห็นใจเพียงนั้น

                แต่วันนี้มันเกิดขึ้นแล้ว

                และคนไทยไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเรากำลังเข้าสู่ภาวะใกล้การ “ล่มสลาย” ของระบบสาธารณสุข

                เพราะเมื่อคนติดเชื้อพุ่งสูงต่อเนื่องโดยที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะนิ่งและเริ่มทรงตัวเมื่อใด จำนวนเตียงโรงพยาบาล, ห้อง ICU, บุคลากรทางการแพทย์ย่อมจะไม่พอที่จะตอบสนองความต้องการได้

                วันนี้ กระทรวงสาธารณสุขกำลังจะบอกคนไทยทั้งประเทศว่าเราจะต้องอยู่กับระบบ Home Isolation แล้ว

                ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ

                ไม่ว่าเราจะคุ้นเคยหรือไม่คุ้นเคย

                เพราะมันกลายเป็นความจำเป็นของยุคสมัย

                ตราบที่เรายังไม่สามารถกดตัวเลขคนติดเชื้อลงได้

                ตราบที่เรายังไม่มีวัคซีนเพียงพอที่จะระดมฉีดให้กับคนเกิน 60% ของประชากรเพื่อให้เกิด “ภูมิต้านทานหมู่” ได้

                และตราบที่เรายังต้องเผชิญกับการโจมตีของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ที่มีอำนาจทำลายล้างสูง, เร็วและแรงกว่า

                วิถีปฏิบัติในกรณี Home Isolation นั้นไม่เหมือนกับ Home Quarantine

                เพราะอย่างหลังนั้นเป็นการกักตัวของคนที่ยังไม่ติดเชื้อ เพียงอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องกักตัวเพื่อสังเกตอาการเท่านั้น

                แต่ในกรณี Home Isolation นั้นเป็นการใช้กับคนที่มีอาการป่วยแล้วแต่ยังรอการตรวจเชื้อ

                หรือตรวจเชื้อแล้วแต่อาการไม่หนัก และโรงพยาบาลยังไม่มีเตียงรองรับได้

                การปฏิบัติตนระหว่าง Home Quarantine กับ Home Isolation จึงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

                เพราะอย่างหลังนี้ต้องเข้มข้นและมีวินัยมากกว่าหลายเท่าทีเดียว

                มีคำแนะนำวิธีปฏิบัติตนในกรณี Home Isolation จากกระทรวงสาธารณสุขอย่างนี้

                •ห้ามผู้ใดมาเยี่ยมบ้านระหว่างแยกกักตัว

                •ไม่เข้าใกล้หรือสัมผัสกับผู้สูงอายุหรือเด็กอย่างเด็ดขาด โดยรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร

                •แยกห้องพัก ของใช้ส่วนตัวกับผู้อื่น หากแยกห้องไม่ได้ควรแยกบริเวณที่นอนให้ห่างจากคนอื่นมากที่สุด และควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ควรนอนร่วมกันในห้องปิดที่ใช้เครื่องปรับอากาศ

                •หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน ควรรับประทานในห้องของตนเอง หากรับประทานอาหารด้วยกันควรแยกสำรับ ไม่ใช้ช้อนกลางร่วมกัน รักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 2 เมตร

                •สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่จะออกมาจากห้องที่พักอาศัย

                •ล้างมือด้วยสบู่หรือทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่จำเป็นจะต้องสัมผัสกับผู้อื่นหรือหยิบจับของที่จะต้องใช้ร่วมกับผู้อื่น

                •แยกซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู และเครื่องนอน ด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอก ควรใช้ห้อง

                คำถามคือระบบ Home Isolation เช่นนี้จะยิ่งทำให้เกิดการแพร่ระบาดในบ้านมากขึ้นหรือไม่

                หากคนที่อยู่ในข่ายนี้ไม่ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบที่ถูกต้องหรือหลบเลี่ยงหลักปฏิบัติเช่นนี้

                เพราะในหลายกรณีที่พักอาศัยอาจจะคับแคบ ไม่เอื้อต่อการ “รักษาระยะห่าง”

                หรือการปรับตัวของครอบครัวแบบไทยๆ ที่ทำกิจกรรมอย่างใกล้ชิดกันอาจจะไม่ทันกับการแพร่ระบาดของโรคร้ายได้

                ทั้งหมดนี้คือความท้าทายที่ทำให้เกิดคำถามว่า สังคมไทยเรากำลังเจอศึกหนักเกินกว่าที่จะรับได้หรือไม่

                ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงจริงๆ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"