มองไปข้างหน้าอีก 2 สัปดาห์ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ของไทยจะเป็นอย่างไร
คำตอบที่ได้จากผู้รู้หลายๆ ฝ่ายในวงการแพทย์ยืนยันเกือบจะตรงกันว่า
จะแย่กว่าวันนี้มาก
เพราะสายพันธุ์ Delta (หรือ “อินเดีย” เดิม) กำลังบุกหนัก และจะ “แย่งส่วนแบ่งตลาด” จากสายพันธุ์ Alpha (“อังกฤษ” เดิม) อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
อีกทั้งการฉีดวัคซีนยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถเร่งความเร็วได้เท่าที่ควร
จึงทำให้เห็นภาพที่น่ากังวลหนักขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
คุณหมอประสิทธิ์ วัฒนาภา, คณบดีแพทยศาสตร์ของศิริราช, บอกผมว่าเรากำลังจะเห็นการระบาด “ระลอก 4” ในเร็ววันหากไม่ใช้มาตรการที่เข้มข้นจริงๆ
คุณหมอมานพ พิทักษ์ภากร จากศิริราชเหมือนกันบอกว่า
การระบาดใน กทม.และปริมณฑลขณะนี้ต้องถือว่าเข้าสู่ “ระลอก 4” แล้วด้วยซ้ำไป
ท่านบอกว่าภาพที่ 2 สัปดาห์ข้างหน้ามีความสำคัญเพราะมาตรการใดๆ ก็ตามที่เราหวังสกัดการระบาด (migitation measure) กว่าจะเห็นว่าได้ผลหรือไม่ก็คงใช้เวลาขนาดนั้น
ในระหว่างนี้เราก็คงต้องอยู่กับความจริงไปก่อน
คุณหมอเขียนในเฟซบุ๊กของท่านตอนหนึ่งว่า
“เสียงจากภาคการแพทย์ที่ดังขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจากสถานการณ์การระบาดที่หนักหน่วงขึ้นมาก ดูจากข้อมูลที่ ศบค. ประกาศรายวันเราอาจสนใจแต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้เสีย ชีวิตกันวันต่อวัน แต่ถ้าดูแนวโน้มแบบนี้เราจะมองภาพได้ชัดขึ้น…”
คุณหมอตั้งข้อสังเกตว่าแค่สัปดาห์เดียว กทม. มีผู้ป่วยใหม่รายวันเพิ่มขึ้นถึง 77%
และในเวลาสัปดาห์เดียว ทั้งประเทศมีผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น 320 คน (+21%) และผู้ป่วย ICU เพิ่มขึ้น 94 คน (+22%)
ถ้ามองย้อนกลับไป ในเวลาแค่ 2 เดือน มีผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้น 4.4 เท่า และผู้ป่วยใน ICU เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า
การระบาดขณะนี้กำลังเกิดขึ้นในชุมชนเป็นวงกว้างและแทรกซึมไปทั่ว
อนุมานได้จากข้อมูลการตรวจหาเชื้อ COVID ทั้งประเทศ เทียบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ จะพบว่า
อัตราการตรวจพบเชื้อ (positive rate) สูงขึ้นชัดเจนในทุกเขตสุขภาพ โดยเฉพาะเขต 13 (กทม.), 4 (ภาคกลาง), 5 (ภาคตะวันตก), 6 (ภาคตะวันออก) และ 12 (ภาคใต้)
โดยเขต กทม. มี positive rate สูงขึ้นมากจาก 8.7% ไปเป็น 10.2%
โดยที่จำนวนการตรวจเพิ่มขึ้นน้อยมากราว 4%
บ่งชี้ว่าความสามารถในการตรวจน่าจะชนเพดานแล้ว ไม่สามารถตรวจได้เพิ่มกว่านี้
คุณหมอบอกว่า การพบว่า positive rate ขึ้นเร็วกว่าจำนวนที่ตรวจได้ บอกโดยนัยอยู่แล้วว่าเรากำลัง undertest อยู่
นั่นแปลว่าจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่รายงานทุกวันนี้ยังต่ำกว่าความเป็นจริงพอสมควร
การแพร่สายพันธุ์ Delta ที่ทำให้เกิดการระบาดระลอก 4 ในเขต กทม.และปริมณฑล เกิดขึ้นเร็วกว่าคาด
ถ้าอิงบทเรียนของ UK และ US สัดส่วนของ Delta variant น่าจะเพิ่มเป็น 60-70% ภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
และถ้าเทียบข้อมูลของ UK จะเห็นว่าช่วงระยะแบบนี้จำนวนผู้ป่วยใหม่จะเร่งตัวสูงขึ้น
คุณหมอเตือนว่า
“อย่าแปลกใจว่าเราอาจเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอีก (แม้ว่าจะไม่เพิ่มแบบ exponential เพราะมีเพดานจำนวนที่ตรวจได้ต่อวัน) และจำนวนผู้ป่วยหนัก หนักมาก (ICU) และผู้เสียชีวิต จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้…”
นั่นเป็นที่มาของการที่ทางการต้องเริ่มพูดถึงการต้อง “กักตัว-รักษาตัวในบ้าน” หรือ Home Isolation
นั่นแปลว่าคนที่มีอาการไม่สบายต้องการจะตรวจว่าตนติดเชื้อโควิดหรือไม่ อาจจะไม่ได้รับการตรวจง่ายๆ อีกต่อไป
เพราะโรงพยาบาลจำนวนมากไม่รับตรวจ ด้วยกลัวว่าหากพบว่าติดเชื้อจะต้องรับไว้เป็นไข้
ในภาวะที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่อยู่ในภาวะ “ล้นมือ” ก็ทำให้มีการปฏิเสธที่จะรับตรวจกันมากขึ้น
ทำให้แม้คนที่พบว่าติดเชื้อแล้ว แต่อาการไม่รุนแรงก็ต้องดูแลรักษาตัวอยู่ที่บ้าน
ใช้วิธีการปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลผ่านมือถือที่เรียกว่าระบบ Telemedicine
ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และไม่คุ้นเคยของคนไทย
จะนำไปสู่ความเครียดและปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนในบ้าน, ระหว่างคนไข้กับแพทย์ และระหว่างคนในสังคมอย่างน่ากังวล
การทำ Home Isolation ก็มีกฎกติกาหลายอย่างที่ผิดแผกไปจากการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังธรรมดา หรือที่เรียกว่า Home Quarantine
พรุ่งนี้ว่าเรื่องนี้ต่อครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |