ต้องบอกว่า “พี่ไทย” เข้าสู่การระบาดโควิด-19 ระลอกสี่แล้วอย่างเต็มตัวที่ไม่มีการเว้นวรรคพักผ่อนจากระลอก 3 เสียด้วย ที่บอกแบบนี้เพราะเห็นได้จาก ตัวเลขที่ขยับขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ และจะยิ่งทวีมากขึ้นไปอีกหากสายพันธุ์ “อินเดีย” เข้ามาแทนที่ “อังกฤษและอู่ฮั่น” และจากตัวเลขล่าสุดที่ “นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงที่ไทยติดเชื้อ 4,786 ราย และ เสียชีวิตนิวไฮอีกครั้งที่ 53 ราย ก็ทำให้พี่ไทยขยับขึ้นอันดับโลกอย่างปรู๊ดปร๊าดทีเดียว...๐

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.จนถึง ช่วงเช้าวันที่ 30 มิ.ย.นั้น ไทยอยู่อันดับ 76 ของโลก ในจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่หลังจาก “ศบค.” เปิดตัวเลขรายวันไทยก็ ขยับขึ้นไปที่อันดับที่ 73 มียอดรวมผู้ติดเชื้อ 259,301 ราย แซงหน้าทั้งมอลโดวา, ศรีลังกา และสโลวีเนีย ที่เคยอยู่ก่อนหน้า ซ้ำร้ายอันดับที่ 72 นั้นคือฮอนดูรัส แม้จะยังห่างจากไทยประมาณ 2-3 พันคน แต่หากตัวเลขของ พี่ไทยยังคงอยู่ระดับนี้ ก็เชื่อว่าสิ้นสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้าก็แซงแน่นอน...๐

นอกจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งกระฉูดสวนทางโลกแล้ว ที่น่าสนใจคือมาตรการกระตุ้นและเยียวยาของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เป็น “ซูเปอร์แมน” ในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ด้วย เพราะเล่นคุมหมดทุกอย่าง โดยในวันที่ 30 มิ.ย.ก็ถือเป็นวันสิ้นสุดของมาตรการ “ม33เรารักกัน” ซึ่งไม่รู้ว่า “นายกฯ” และ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน ทำไมไม่คิดที่จะต่ออายุมาตรการออกไป ทั้งที่ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระงบประมาณขึ้นเลย หรืออยากให้ชาวบ้านไปแออัดยัดเยียดใช้เงินในวันสุดท้ายให้ติดโควิด-19 พุ่งพรวดกันเล่า...๐

ในขณะที่โครงการ “คนละครึ่ง” เฟส 3 ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ต้องบอกว่า “ชาวบ้าน” มือใหม่ด่ากันโขมง เพราะตอนสมัครกว่าจะได้ตัวเลข OTP และรออนุมัติก็ข้ามวันข้ามคืนกันแล้ว แต่พอทดสอบก่อนวันใช้จ่ายจริงถึงกับไปไม่เป็น เพราะต้องมีการสแกนหน้ากันอีกรอบ สแกนจบยัง ต้องนำ “บัตรประชาชน” ไปยืนยันตัวตนที่ตู้เอทีเอ็มหรือสาขาธนาคารกรุงไทยกันอีก...๐ พระเจ้าจอร์จ ตู้กรุงไทยมันขึ้นเป็นดอกเห็ด หากันง่ายเสียที่ไหน สุดท้ายก็ต้องแบกสังขารไปที่ธนาคารกรุงไทย ที่สำคัญไปยืนรอยืนออกันให้แน่นขนัด โดยเฉพาะในพื้นที่ 10 จังหวัดที่ควบคุมเข้มข้น มันจะสวนทางหรือไม่อย่างไร วาน “กุลยา ตันติเตมิท” ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวง และ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.การคลัง ช่วยตอบที...๐

งานนี้จึงไม่แปลกที่สังคมและขาเมาธ์ โดยเฉพาะ ชาวบ้านตาดำๆ ถึงกับด่ากันให้แซดว่าตกลงแล้วเราเป็น “ขอทาน” กันหรืออย่างไร ถึงได้มีข้อกำหนดยุ่งยากลำบากเสียขนาดนั้น เพราะสแกนหน้าก็แล้ว บัตรประชาชนก็ลงแล้ว นี่ถ้าจะ เอากันขนาดนี้ก็ควรให้เอาสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมทั้งตรวจเลือด ตรวจฉี่กันไปเลยดีไหมทั่นผู้นำรัฐบาล การจะอ้างว่ากลัวแอบอ้างนั้นมันโคตรจะตลก เพราะโครงการคนละครึ่งนั้น ถ้าเปรียบก็เหมือนกับการจ่ายครึ่งราคา หรือซื้อของเซล 50% ในขณะที่ ม33เรารักกันนั้น ก็ต้องบอกว่า “ของฟรี” ฉะนั้นที่น่าจะโกงหรือแอบอ้างมันควรจะเป็นโครงการ ม33 เสียมากกว่า...๐

หันมาพินิจพิเคราะห์โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” กันบ้าง จะเห็นว่าตีฆ้องร้องป่าวกันแค่ 1-2 วันแรกเท่านั้น แต่ ณ ปัจจุบันกลับเงียบหาย แหม! งานนี้ไอ้ปื๊ดอยากจะกระซิบให้ดังๆ ว่าเป้าหมาย 4 ล้านคนนั้นอย่าฝันเลย แค่ 1 ล้านคนเอาให้ได้ก่อนเถอะ เพราะเขาเข็ดหลาบมาแล้วจาก “ช้อปดีมีคืน” เพราะดูเหมือนต่างคนต่างทำงาน เวลาช็อปจริงขอใบเสร็จได้จริง แต่เวลาไปยื่นภาษี “สรรพากร” บอกใช้ไม่ได้นะจ๊ะ ก็เลยเอวังด้วยประการฉะนี้...๐

ล่าสุดยังมีมาตรการเยียวยาที่ออกจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาอีก ที่บอกว่าจะจ่ายให้ลูกจ้างและนายจ้างนั้น คนเขาก็ถามกันทั่วว่าจะจ่ายรูปแบบไหนอย่างไร จะ ขายฝันแก้ผ้าเอาหน้ารอดอีกแล้วหรือไม่อย่างไรจ๊ะ เพราะไม่เห็นมีรายละเอียดที่จับต้องได้ออกมา จะบอกว่าให้ “คลัง” ไปทำรายละเอียดแล้ว ถ้าเหมือนคนละครึ่งอีกรอบก็สนุกล่ะพ่อคุณ...๐

คนเราเมื่อโดนหลอกไปแล้ว 1 ครั้งยังพอทำใจได้ แต่ หากโดนหลอกซ้ำหลอกซากก็คงต้องทบทวนตัวเองกันขึ้นมาแล้ว งานนี้จึงไม่แปลกที่เสียงกระหึ่มขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นับวันจะเริ่มขยายวงมากขึ้น จากฝ่ายแค้นฝ่ายค้านตัวจริงก็เริ่มมีสาวกและเอฟซีทั้งหลายที่เคยหลงใหลได้ปลื้ม “ลุงตู่” ก็เริ่มเปลี่ยนข้าง และหันหลังให้มากขึ้นเสียแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดเลย เพราะ การคงคอนเซ็ปต์ “รัฐราชการ” แบบไม่ลืมหูลืมตาดูสถานการณ์โลกในภาวะเช่นนี้ก็ควรที่จะถูก “เท” จริงไหม...๐.

...ท.ศักดิ์