เมื่อวานได้เขียนถึงข้อเสนอมาตรการเพิ่มเติมจาก TDRI ในสถานการณ์สงครามโควิด-19 ที่เรากำลังเผชิญกับวิกฤติที่หนักขึ้นทุกวัน
บทความของ TDRI หรือสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้เสนอทางออกให้สาธารณชนรับทราบ
เป็นบทวิเคราะห์โดย ผศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
กับ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงของ TDRI
มีข้อเสนอ 4 มาตรการ เมื่อวานได้เล่าถึงมาตรการที่ 1 คือการปรับนโยบายการตรวจโรค
วันนี้มาดูอีก 3 ข้อ
2) พิจารณาปรับมาตรการกักแยกโรค เพื่อเก็บรักษาทรัพยากรโรงพยาบาลที่มีอยู่จำกัดมากในตอนนี้ไว้ให้ผู้ติดเชื้อที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
เราควรปรับให้มีระบบการกักแยกโรคที่บ้าน (Home Isolation) เฉพาะสำหรับประชากรที่ผลตรวจเป็นบวกชัดเจน
แต่เป็นกลุ่มที่น่าจะจัดการตัวเองได้เพียงพอที่จะทำการเว้นระยะห่างทางกายภาพในครัวเรือน
จนทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อในครัวเรือนและในชุมชนได้ไม่มาก เพื่อดึงเตียงโรงพยาบาลกลับไปให้ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะยังไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะจัดการตัวเองได้และตอนนี้ยังเข้าไม่ถึงโรงพยาบาล
ถ้าหากประเมินว่าประชาชนที่ใช้ชุดตรวจด้วยตนเองเป็นกลุ่มมีความสามารถในการจัดการตัวเองไม่ให้แพร่เชื้อให้ชุมชนได้ด้วย ก็อาจพิจารณาทำ Home Isolation ด้วยตนเองได้ทันทีเมื่อตรวจพบผลบวก
แต่ระบบกักแยกโรคที่บ้านหรือ Home Isolation ต้องการทรัพยากรที่แตกต่างจากการกักตัวเพื่อเฝ้าสังเกตอาการที่บ้านของกลุ่มเสี่ยงจากการสัมผัสโรคที่ยังไม่ได้ตรวจพบผลบวก (ซึ่งเราเรียกว่า Home Quarantine)
เพราะการกักแยกผู้ติดเชื้อที่บ้านจำเป็นต้องมีระบบ Telemedicine ซึ่งบูรณาการระบบสื่อสารและการจัดการที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงผู้กักโรคที่บ้านเข้าโรงพยาบาลให้ทันเวลาหากผู้ติดเชื้อมีอาการหนักขึ้น
3) พิจารณาปรับนโยบายวัคซีน “เฉพาะหน้า” เพราะวัคซีนที่เรามีอยู่มีจำนวนจำกัดและมาไม่ถึงตามแผนที่วางไว้เดิม เราจำเป็นต้องเร่งให้ความสำคัญต่อการฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงด้านสุขภาพ (ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง) เพื่อป้องกันการเสียชีวิตเป็นลำดับความสำคัญแรก
และเนื่องจากวัคซีนที่เรามีอยู่มีประสิทธิผลในการป้องกันการแพร่เชื้อให้ลดลงในการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ และจำเป็นต้องรอเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันหลังฉีดครบ 2 เข็ม (ไม่สามารถฉีดเพียง 1 เข็มสำหรับป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ หรือกระทั่งบางวัคซีนแม้จะฉีดสองเข็มแล้วก็ยังอาจไม่สามารถป้องกันได้)
เราจึงไม่ควรกระจายวัคซีนเป็นเบี้ยหัวแตกไปทั่วประเทศในสถานการณ์ล่าสุดนี้
เพราะอย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนและประสิทธิผลของวัคซีนที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระยะสั้นได้
อย่างน้อยที่สุด หากเรายังต้องการเร่งฉีดวัคซีนที่เหลืออยู่ให้พื้นที่ระบาดหนัก (เช่น กทม.และปริมณฑล) ในขณะเดียวกันเราก็จำเป็นต้องมีมาตรการอื่นเพื่อป้องกันประชากรกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่อื่นที่ยังไม่ได้รับวัคซีนด้วย
4) พิจารณาการใช้นโยบายล็อกดาวน์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
เราอาจจำเป็นต้องมีการใช้นโยบายล็อกดาวน์ “ระยะสั้น” เฉพาะในพื้นที่ระบาดหนัก (เช่น กทม.และปริมณฑล) และทำเป็นครั้งคราว
แต่ต้องปรับให้เป็นการล็อกดาวน์อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ให้เหลือโอกาสที่ทำไม่ได้จริงตามแผนที่วางไว้
ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
และการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถทำตามมาตรการล็อกดาวน์ในระยะเวลาที่กำหนด
โดยไม่ทิ้งใครให้ต้องเผชิญปัญหาในการดำรงชีวิตแต่เพียงลำพัง
ตัวอย่างเช่น กำหนดแรงจูงใจทางการเงินเพื่อให้ชดเชยแก่ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ต้องขาดรายได้จากการล็อกดาวน์ และสามารถปฏิบัติตามมาตรการล็อกดาวน์ได้
แต่ที่บทความนี้เน้นเป็นพิเศษคือ
“ท้ายที่สุดข้อเสนอมาตรการที่กล่าวถึงข้างต้นจะไม่สามารถมีประสิทธิภาพได้เต็มที่ หากไม่มีการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและกรุงเทพมหานคร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอด”
ตายน้ำตื้นอย่างนี้มายาวนานแล้ว!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |